More

    Ford Ranger Wildtrak V6 x Ranger Raptor สองหนุ่มแดนมะกัน ดุ แรง ลุย

    นับตั้งแต่ Ford Ranger เจเนอเรชันที่ 4 เมื่อปี 2022 ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสาวกฟอร์ดมานานกลายเป็นกระบะพรีเมียมที่มียอดขายสูงในไทย

    Fordสามารถครองตำแหน่งรถที่มียอดขายดีที่สุดอันดับ 3 ทั้งในเซ็กเมนต์กระบะและ PPV ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอดขายรวมทั้ง Ford Ranger และ Ford Everest ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 รวม 11,282 คัน รักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยส่วนแบ่งตลาด 29% และยังเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะ 4×4 แบบสี่ประตู ด้วยส่วนแบ่งตลาด 37% โดยครึ่งปีแรก Ranger ทำได้ 7,019 คันซึ่งส่วนหนึ่งมาจากน้องใหม่ที่เปิดตัวต้นปีกับ Ford Ranger WILDTRAK V6 และอีกทางเลือกของตระกูล Raptor กับ Ford Ranger Raptor Diesel มา Face2Face กัน

    Design & Exterior

    FordFord Ranger รหัส T6.3 ทั้ง Ford Ranger WILDTRAK V6 และ Ford Ranger Raptor Diesel พื้นฐานเดียวกันแต่ความหล่อสไตล์ใครสไตล์มันเริ่มที่รุ่น WILDTRAK V6 ภาพรวมเหมือนรุ่นเทอร์โบคู่ 2.0 แต่เมื่อมาเป็นรุ่น V6 สิ่งที่เปลี่ยนไปเริ่มที่ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว 6 ก้านทูโทนลายเดียวกันกับ Everest WILDTRAK พร้อมยางขนาด255/55 R20 จาก Goodyear รุ่น Territory HT ช่องระบายอากาศสีดำพร้อมตัวอักษร V6 ในชุดบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) รอบคัน

    Fordนอกนั้นเหมือนรุ่น WILDTRAK เทอร์โบคู่ทั้ง ไฟหน้า Matrix LED กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมแบบสีดำเงา แผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง คิ้วช่องระบายอากาศสีเงิน บันไดข้างอะลูมีเนียมสีดำ บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายบริเวณด้านหลังล้อหลัง ไฟท้าย LED แนวตั้งสวยงามราวหลังคาและสปอร์ตบาร์ดีไซน์เอกลกัษณ์ กระบะท้ายเปิดปิดง่ายแบบช่วยผ่อนแรง Easy Lift (Easy Lift Tailgate)

    ภายในกระบะท้ายมีช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายที่มาพร้อมช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง 400 วัตต์ ให้คุณใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง หม้อหุงข้าว หรือเตาอบขนาดเล็กได้ง่ายๆ เพียงเสียบปลั๊กกับตัวรถ

    Fordทางด้าน Ford Ranger Raptor Diesel เหมือนรุ่นเบนซิน V6 ตั้งแต่ไฟหน้าใหม่รูปตัว C แบบ Matrix LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime running lights แบบ LED เพิ่มประสิทธิภาพส่องสว่างมากขึ้น ตัวอักษร F-O-R-D ขนาดใหญ่บนกระจังหน้า​ กันชนที่เป็นอิสระ โดดเด่นด้วยไฟเลี้ยวแบบไดนามิก ไฟสูงแบบตัดแสงปรับระดับแสงแบบอัตโนมัติเพื่อให้แสงสว่างที่ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ เท่และดุดันภายใต้ซุ้มล้อสีเทาเข้มสะดุดตา ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Performance All-Terrain BFGoodrich K02 High T285/70 R17

    ช่องลมข้างบังโคลนสีเทาเข้มมีประโยชน์ด้านอากาศพลศาสตร์นอกจากความสวยงาม บันไดข้างดีไซน์ใหม่ทำจากอะลูมิเนียมที่แข็งแรง ด้านหลังใช้ไฟท้าย LED กันชนหลังสีเทาเข้มมีบันไดเหยียบเพื่อขึ้นกระบะท้าย และชุดลากในตัวที่ติดตั้งในตำแหน่งสูงเพื่อเพิ่มมุมจาก กล้องรอบคัน 360 องศา  กระบะท้ายเปิดปิดง่ายแบบช่วยผ่อนแรง Easy Lift (Easy Lift Tailgate) มีช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายที่มาพร้อมช่องต่อไฟแบบ AC 400 วัตต์ ภายในกระบะท้ายแต่ไม่มีท่อไอเสียคู่เป็นแค่ด้านเดียว

    Dimension

    Fordทั้ง 2 รุ่น มีขนาดต่างกันถึงแม้จะใช้พื้นฐานเหมือนกันเริ่มที่ Ford Ranger WILDTRAK V6 ตั้งแต่

    • ความยาว 5,370 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 1,918 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,884 มิลลิเมตร
    • ฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร
    • ความสูงใต้ท้องรถ 235 มิลลิเมตร
    • น้ำหนักรถ 2,388 กิโลกรัม
    • ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
    • ส่วนท้ายพื้นที่ใช้งานตั้งแต่ความยาว 1,564 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,584 มิลลิเมตร และความสูง 540 มิลลิเมตร

    FordFord Ranger Raptor Diesel ตัวรถใหญ่ชึ้นด้วย

    • ความยาว 5,360 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 2,028 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,926 มิลลิเมตร
    • ฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร
    • น้ำหนักรถ 2,510 กิโลกรัม
    • ระยะต่ำสุดจากพื้น 272 มิลลิเมตร
    • ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร

    Interior & Convenience

    รุ่น WILDTRAK V6 เน้นเข้มด้วยโทนสีดำ สีส้มเริ่มที่สัญลักษณ์ WILDTRAK คอนโซลหน้าหุ้มหนังสัมผัส  ชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดำ และ บริเวณฝาเปิดบนชุดคอนโซลหน้าแบบหุ้มหนัง เดินด้ายส้ม เบาะนั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้าได้ถึง 8 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านคู่หุ้มหนัง หน้าจอสัมผัสแนวตั้งแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® Android Auto™ เชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมระบบ FordPass ช่องต่อ USB 4 จุด พร้อมลำโพง 6 ทิศทาง

    มาตรวัดดิจิทัลแบบสีขนาดเล็ก 8 นิ้ว ช่องต่อไฟ 12V พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบเบรครถอัตโนมัติชั่วคราว Auto Hold และครั้งแรกกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter หุ้มหนัง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาและปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติพร้อมช่องต่อ USB  เพิ่ม ระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ควบคุมการเปิดไฟส่องสว่างภายนอกตัวรถเมื่อต้องการแสงสว่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนกลางคืน

    Fordรุ่น Raptor Diesel ดุดันด้วยห้องโดยสารโดยใช้เบาะที่นั่งแบบสปอร์ตคู่หน้า มอบทั้งความสบายและกระชับแม้รถวิ่งด้วยความเร็วบนทางโค้งตกแต่งด้วยโทนสีส้ม Code Orange บนแผงหน้าปัด การตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต โดดเด่นยิ่งขึ้นอีกเมื่อเปิดไฟส่องสว่างสีอำพันอบอุ่นภายในห้องโดยสาร เสริมความหรูหราอีกขั้นด้วยพวงมาลัยหนังเกรดพรีเมียมจับกระชับมือพร้อมแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัยหรือ On-centre mark กับแป้น Paddle Shift เคลือบแมกนีเซียมโดยตัดฟังก์ชันการทำงานของพวงมาลัยทั้งไม่มี โหมด Sport และ My Mode

    Fordระบบไฟฟ้ามาครบ​ด้วยมาตรวัดดิจิทัลความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว จอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A®  รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android มอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับระหว่างการผจญภัยครั้งใหม่ และระบบ Ford Pass แท่นชาร์จไร้สาย แต่เป็นลำโพงปกติให้ครบ 6 จุด

    Engine & Transmission

    Fordกระบะ 2 คน 2 คมเด่นด้วยขุมพลังที่ให้ทั้งสมรรถนะความเร็วและแรงแบบหาตัวจับยากเริ่มที่รุ่น WILDTRAK V6 กับขุมพลังดีเซล V6 เทอร์โบเดี่ยว ในรหัส BF2S ขนาด 3.0 ลิตร Power Stroke ที่ให้กำลังมากถึง 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที ปรับสเปกเพื่อให้สามารถเข้าเกณฑ์ผ่านมาตรฐานไอเสียของไทยหรือ EURO 5 ส่งผลให้การปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 221 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วน Ranger Raptor Diesel เป็น ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส​ใหม่ YN2R รองรับ EURO5 ให้กำลัง 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ส่งผลให้การปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 278 กรัมต่อกิโลเมตร

    Fordทั้ง 2 รุ่น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 e-Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case–EMTC) ในรุ่น WLIDTRAK V6 มีโหมดการขับขี่ Terrain Management System ลุยทุกสภาพพื้นผิวด้วย 6 โหมดทั้ง โหมดปกติ Normal (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมดประหยัด Eco, โหมดลากจูงและบรรทุก Tow/Haul, โหมดทางลื่น Slippery (ใช้เฉพาะ 4H), โหมดทราย Sand (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L), โหมดโคลน Mud/Ruts (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)

    Fordส่วน Raptor Diesel มีโหมดการขับขี่ Terrain Management System 7 โหมดทั้งโหมดทางเรียบ 3 โหมดทั้งโหมด Normal (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมด Sport (ใช้ได้เฉพาะ 4A) โหมดทางลื่น Slippery (ใช้เฉพาะ 4H) (โหมดใหม่แทนโหมด Snow/Gravel/Gravel), โหมดโคลนและร่อง Mud/Ruts (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L), โหมดทราย Sand (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L) ,โหมดไต่โขดหิน Rock Crawl (ใช้ได้เฉพาะ 4L) และโหมดบาฮา Baja ทั้ง 2 มีระบบดิฟล็อกไฟฟ้าด้านหลัง locking differentials

    Handling & Ride

    Fordภาพจำในอดีตของเครื่อง 3.2 ลิตร 5 สูบ ที่ให้เอกลักษณ์ในเรื่องความสุขุมแบบผู้ดีไม่คำรามโวยวายเสียงดัง การสั่นสะเทือนของเครื่องที่นิ่งเงียบสนิทได้กลับมาจุติในเครื่องใหม่ตระกูล Lion V6 3.0 แม้จะใช้กันมากว่า 10 ปีในแบรนด์ตัวเองเช่น Ford Territory และ Land Rover อย่าง Discovery 3  มาปรับพัฒนาใหม่ให้สมความเป็น Ford ด้วยความแรงความเร้าใจตามประสาดีเซล ส่งผลให้รอบการทำงานเครื่องยนต์ ช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที มาแบบเร็วติดปีกและต่อเนื่องตั้งแต่ 1,300, 1,500, 1,700 และ 1,900 รอบต่อนาทีตามลำดับทางด้านอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวัดจากเครื่องมือเฉพาะทำได้ 9.5 วินาที

    เสียงเครื่องยนต์เงียบขึ้นกว่ารุ่นเทอร์โบคู่ของ WILDTRAK ความสั่นสะเทือนของเครื่องน้อยมากทำงานราบเรียบกว่าการเก็บเสียงที่หนาขึ้นเงียบขึ้นกว่าโดย Ford ตั้งใจออกแบบวัสดุดูดซับเสียงให้หนาขึ้นช่วยให้การขับขี่นั้นสนุดอภิรมย์มากขึ้น เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เซตระบบมาทำงานได้ราบรื่นสมูทและยังมีโหมดบวก/ลบ ไว้ในยามเร่งแซงความประหยัดน้ำมันทำได้ 11.7 กิโลเมตรต่อลิตร ใกล้เคียงกับรุ่น WILDTRAK เทอร์โบคู่ทำได้ 10.11 กิโลเมตรต่อลิตร ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร มีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม

    ตัวรถขนาดพอดีไม่ใหญ่โตเท่า Raptor จึงขับขี่สะดวกกว่าด้านช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง (Double wishbone with coil spring and anti-roll bar) ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อน 5 แผ่น (Leaf Springs) ใส่โช้กอัพหน้าหลังแบบโมโนทูปมาให้ (Monotube Shock Absorber) เน้นหนึบนำนุ่มตามไม่โคลง พอมีโช้กอัพโมโนทูปสี่ต้นเข้ามายิ่งทำให้หนึบขึ้นนุ่มนวล พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPAS น้ำหนักดีไม่ว่าจะทางเรียบ ทางลุยมั่นใจควบคุมโค้งจิกเนียนๆ รวมถึงระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกสี่ล้อน้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ฉับไวเมื่อเหยียบไป 25%

    ส่วนรุ่น Raptor Diesel โลดแล่นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ทรงพลัง เร่งแซงฉับไวบนถนนทางยาวๆ ขึ้นเขาสูงหรือทางโหด มีอุปสรรค กำลังมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ตอนออกตัวจะสุขุมไม่กระโชกโฮกฮากกับพลังเทอร์โบคู่ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น

    ด้านอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวัดจากเครื่องมือเฉพาะทำได้ 12.5 วินาทีเรียกว่ามากกว่า Raptor เจนที่แล้วที่ทำได้ 11.69 วินาที เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดราบรื่นไม่มีแผ่วไม่ยอมให้ม้าตกหล่นและไม่กระโดดไปมาเรียงตามลำดับจนเกิดความสับสนว่าเข้าเกียร์ไหน พร้อม Paddle Shift หลังพวงมาลัยสร้างความมันส์เร้าใจในการขับขี่ ช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที ตั้งแต่ 1,400, 1,600, 1,800 และ 1,900 รอบต่อนาที ตามลำดับด้านความประหยัดน้ำมันทำได้ 10.73 กิโลเมตรต่อลิตร ใกล้เคียงกับเจนที่แล้ว 10.76 กิโลเมตรต่อลิตร ความสามารถในการลากจูง 2,500 กิโลกรัม และความสามารถในการลุยน้ำ 850 มิลลิเมตร

    Fordช่วงล่างใช้โช้กอัพของ FOX แบบ Internal Bypass สีส้ม 4 ต้นแต่ไม่สามารถปรับระดับโช้คอัพถึง 4 ระดับ บนพื้นฐานช่วงล่างวัตต์ลิงก์ (ในรุ่นเบนซิน V6 เป็น Live Valve Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้ว) ทำให้เจ้ายักษ์โลดโผนโจนทะยานได้อย่างมั่นใจทั้งทางตรงและทางโค้งที่ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ ความนุ่มนวลที่มีมากกว่ากระบะทั่วไปตอบสนองที่ดีทั้งบนถนนดำและทางฝุ่น เช่นเดียวกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่คมและแม่นยำทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ยิ่งเวลาซัดบนทางฝุ่นจนมีอาการลื่นไถลเมื่อสาดโค้งบนหินกรวดจนมีอาการท้ายออกเล็กน้อยก็สามารถแก้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นระบบควบคุมเสถียรภาพที่มีให้มาก็ไม่ยอมปล่อยให้รถเสียอาการมากจนเกินไป เรียกได้ว่ามีจังหวะให้รู้สึกสนุกตื่นเต้นแต่ไม่ปล่อยให้เกินเลยจนเกิดอันตรายและเบาะนั่งทรงสปอร์ตโอบกระชับกว่ารุ่น WILDTRAK โอบกระชับทุกโค้งทุกเส้นทาง

    ดิสก์เบรกสี่ล้อน้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ค่อนข้างลึกแต่ก็หยุดฉับไวเมื่อเหยียบไป 30 % และยิ่งเป็นดิสก์สี่ล้อตามปกตินิสัยของมันต้องกะระยะรถคันหน้าดีๆ น่าเสียดายที่ว่ารุ่นดีเซล Raptor ไม่มีความเร้าใจตรงที่ระบบท่อไอเสียควบคุมไฟฟ้าพร้อมโหมดปรับเสียงให้เลือกได้ถึง 4 โหมด Active Vale Exhaust (Quiet, Normal, Sport และ Baja) แต่ยังดีที่ตอนลุยังมี ควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด (Trail Control™) ทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด คล้ายกับ Cruise Control

    Safety & Feature

    Ford

    แม้ Ford Ranger WILDTRAK V6 และ Ford Ranger Raptor Diesel จะไม่มีระบบช่วยจอด Active Park Assist แต่ให้ความปลอดภัยคล้ายๆกันทั้ง

    • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อม Stop&Go และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering
    • เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
    • ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
    • เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
    • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน  Lane Departure Warning
    • ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking
    • กล้องมองรอบคัน 360 องศา
    • ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
    • ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist

    ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง

    • ถุงลมนิรภัย 7 จุด รอบคัน รวมถุงลมบริเวณหัวเข่า
    • ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
    • ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ
    • ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
    • ป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
    • ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
    • ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
    • ควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC
    • สัญญาณกันขโมย
    • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลังรวมกัน 8 จุด (หน้า 4 จุด หลัง 4 จุด)
    • ตรวจวัดลมยาง

    Verdict

    Ford

    Ford Ranger WILDTRAK 3.0 V6 4×4 Double Cab ราคาอยู่ที่ 1,529,000 บาท และ Ford Ranger Raptor Diesel ราคา 1,799,000 บาท มีสีภายนอกให้เลือกดังนี้

    • สีดำ Absolute Black
    • สีขาว Arctic White
    • สีเทา Meteor Grey
    • *สีเหลือง Luxe Yellow ในรุ่น WILDTRAK 3.0 V6
    • *สีเทา Conquer Grey ในรุ่น Raptor Diesel
    • *สีส้ม Code Orange ในรุ่น Raptor Diesel

    Ford

    ตัวรถ Raptor ใหญ่กว่าสปอร์ตพร้อมโช้กอัพจาก FOX ทำให้การขับขี่โหดทางลุยดุกว่า WILDTRAK V6 แต่การใช้งานในเมือง WILDTRAK V6 คล่องตัวกว่าลุยได้ไม่แพ้ Raptor ความประหยัด V6 ดีกว่าเห็นๆ เก็บเสียงเยี่ยม สุขุมไม่โวยวายช่วงล่างหนึบด้วยโมโนทูปแม้ความหล่อคมสันโหดจะให้ค่าตัวส่วนต่างอยู่ที่ 270,000 บาท ก็ตาม สามารถชมตัวจริงที่โชว์รูม Ford ทั่วประเทศ พร้อมที่จะให้คุณทดลองขับประกอบการตัดสินใจ รวมถึงมอบข้อเสนอจัดเต็มลดเพื่อคุณได้คู่หู่ตัวจริงตรงใจ

    (*เพิ่มเงิน 10,000 บาท)

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts