หลังจากเปิดตัวทั่วโลกกับ Lamborghini Temerario ซูเปอร์คาร์ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดเทอร์โบคู่ และล่าสุดเดินทางมาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย
Lamborghini Temerario ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ 920 แรงม้า ผสานดีไซน์กับสมรรถนะและความสบาย ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) รุ่นที่ 2 ต่อจาก Lamborghini URUS SE ที่ใช้ขุมพลัง V8 ปลั๊กอินไฮบริด
การตกแต่งภายในที่เข้าชุดอย่างลงตัว และออปชันพิเศษอีกหลากหลายรายการพร้อมล้อขนาด 20 นิ้วและ 21 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Potenza Sport ขนาด 255/35 ZR20 สำหรับยางหน้าและ 325/30 ZR21 สำหรับยางหลัง ดวงไฟ DRL ทรงหกเหลี่ยมด้านหน้าที่มาพร้อมแผงปรับทางลมและช่องรับลม ไปจนถึงอุปกรณ์สร้างการหมุนเวียนของลมใต้ท้องรถ อีกทั้ง ช่องกลางหลังคาที่เชื่อมต่อกับสปอยเลอร์หลังยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการไหลของอากาศ
ขอบฝากระโปรงเครื่องยนต์ด้านข้างที่มีดีไซน์โค้งมนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น การระบายความร้อนระบบเบรกยังเข้ามาช่วยยกระดับสมรรถนะโดยรวม ระบายความร้อนที่คาลิเปอร์เพิ่มขึ้นถึง 50% และระบายความร้อนจานเบรกได้ดีขึ้นถึง 20% แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง ตัวรถตั้งแต่ความยาว 4,706 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,946 มิลลิเมตร ความสูง 1,201 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,658 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,690 กิโลกรัม
ห้องโดยสารภายในสะท้อนแนวคิด ‘Feel like a pilot’ (ความรู้สึกเสมือนเป็นนักบิน) ของลัมโบร์กินีได้อย่างชัดเจน ผ่านตำแหน่งเบาะนั่งที่ต่ำ แดชบอร์ดดีไซน์เพรียวบาง และพวงมาลัยที่เอียงในองศาที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่เข้าถึงสไตล์การขับขี่ได้อย่างเต็มที่ เบาะนั่งสปอร์ตปรับไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มอบความสบายสูงสุด หรือสามารถเลือกเบาะนั่งแบบคาร์บอนไฟเบอร์ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งระบบทำความร้อน การระบายอากาศ และสีสันที่แตกต่างกัน
ภายในห้องโดยสารโดดเด่น ผสมผสานประสบการณ์ดิจิทัลเข้ากับประสาทสัมผัสได้อย่างลงตัว เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงสุด อาทิ คาร์บอน หนัง และไมโครไฟเบอร์ Dinamica® Corsatex Suede ทั่วทั้งห้องโดยสาร พร้อมกันนี้ องค์ประกอบการตกแต่งภายใน เช่น คอนโซลกลาง ช่องระบายอากาศ แผงประตู แดชบอร์ด พวงมาลัย และคอพวงมาลัย ยังมีให้เลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเป็นออปชันเสริมอีกด้วย
สะท้อนประสบการณ์ดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุดด้วยการจัดวางจอแสดงผล 3 หน้าจอ ได้แก่ แดชบอร์ดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสกลางขนาด 8.4 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ ผู้ขับสามารถเข้าถึงกล้องติดรถ ธีมอินเทอร์เฟซที่เปลี่ยนตามโหมดการขับขี่
ฟังก์ชันขั้นสูงอย่าง Telemetry 2.0 ได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านทั้งแดชบอร์ดโฉมใหม่และบริเวณเบาะที่นั่ง ช่องระบายอากาศทรงหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์และคอนโซลกลางช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด พวงมาลัยติดตั้งปุ่มควบคุมโหมดการขับ ฟังก์ชันยกตัวรถ ปุ่ม “Race Start” ไฟเลี้ยว และ Launch Control เพื่อมอบสมาธิสูงสุดในทุกการขับขี่
เครื่องยนต์เบนซินทวินเทอร์โบ V8 4.0 ได้ถูกนำมาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานกับระบบส่งกำลังไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีกำลังเครื่องถึง 800 แรงม้าที่ 9,000-9,750 รอบต่อนาที แรงบิด 730 นิวตันเมตรที่ 4,000-7,000 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยติดตั้งที่เพลาหน้า 2 ตัว และในชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์ 8 สปีด อีก 1 ตัว ให้กำลัง 299 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที
พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 920 แรงม้า มอบสมรรถนะการเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ ในเวลาเพียง 2.7 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 343 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลายถึง 13 รูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและความเร้าใจบนสนามแข่ง ผ่านระบบ ANIMA (Adaptive Network Intelligent Management) ได้ 5 โหมดหลัก ได้แก่ Città, Strada, Sport, Corsa และ Corsa Plus แต่ละโหมดจะปรับการส่งกำลัง ระบบช่วงล่าง อากาศพลศาสตร์ และประสิทธิภาพของระบบไฮบริดให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการเร่งเต็มพิกัดบนสนามแข่ง
นอกจากนี้ ยังมีโหมดจัดการพลังงานไฮบริดอีก 3 โหมด ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการชาร์จไฟจากแรงเบรก เสริมด้วยโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Drift Mode ที่สามารถควบคุมและปรับแรงบิดได้ 3 ระดับ ช่วยให้การควบคุมการหักเลี้ยวแบบโอเวอร์สเตียร์เป็นไปได้อย่างแม่นยำ มอบประสบการณ์ที่ทั้งเร้าใจและควบคุมได้อย่างมั่นใจ
Lamborghini Temerario เปิดตัวด้วยสองสีพิเศษใหม่ ได้แก่ สีฟ้า Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมมอบอิสระให้ลูกค้าปรับแต่งรถเพื่อสะท้อนตัวตนได้อย่างไม่รู้จบผ่านโปรแกรม Ad Personam ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอสีตัวถังกว่า 400 เฉด รวมถึงลวดลายพิเศษ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมล้อแมกรุ่นใหม่ถึง 3 ดีไซน์และวัสดุที่แตกต่างกัน พร้อมออปชันคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับตกแต่งทั้งภายในและภายนอกหลากหลายชิ้นส่วน
ไม่ว่าจะต้องการสื่อถึงความสปอร์ต ความหรูหรา หรือทั้งสองอย่างในแบบเฉพาะตัว ทุกการคัสตอมคือภาพสะท้อนบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของอย่างแท้จริงสนนราคาเริ่ม 23,760,000 บาท โดย เรนาสโซ มอเตอร์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการรายเดียวในไทย