เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของเวทีการแข่งขันผจญภัยระดับนานาชาติ Defender Trophy Land Rover เปิดตัวรุ่นพิเศษ Land Rover Defender Trophy Edition
Land Rover Defender 110 Trophy Edition สร้างตำนานบทใหม่ในร่าง 5 ประตู 110 มาพร้อมชุดอุปกรณ์เสริมแนะนำสำหรับการเดินทางทำให้รถคันนี้กลายเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบในทุกภารกิจผจญภัย
ตัวรถตกแต่งด้วยโทน Gloss Black ที่ฝากระโปรงหน้า ชายตัวถังด้านล่าง คาลิปเปอร์เบรก และห่วงลากด้านหลัง เสริมความแข็งแกร่งด้วยแผ่นฟิล์มป้องกันเนื้อสีแบบด้าน ที่สามารถเลือกติดตั้งเพิ่มเติมได้ เพื่อปกป้องพื้นผิวรถระหว่างการเดินทางแบบออฟโรด สติกเกอร์ Trophy ที่ฝากระโปรงหน้าและเสา C, ป้ายรุ่นด้านท้าย แผ่นกันรอยบันไดส่องสว่างพร้อมโลโก้ Trophy
เสริมด้วยแผ่นกันรอยท้ายรถ คิ้วซุ้มล้อ และแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถด้านหน้าสีดำ เพิ่มความแกร่งและบุคลิกดุดันโดดเด่นด้วยล้ออัลลอยสีดำเงาขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง All-Terrain จาก Continental ContiWinterContact TS 850P ขนาด 255/60R20 ยึดเกาะทุกพื้นผิว
พร้อมออปชันเดิมทั้ง ไฟหน้า Matrix LED ปรับกรอบไฟหน้าใหม่เป็นกรอบสีเงินทรง 8 เหลี่ยมในดวงไฟหน้าหลักพร้อมไฟ signature DRL มุมไฟซ้าย-ขวาใหม่แบบเต็มกรอบ 2 ดวงและไฟตัดหมอกหน้า LED กระจังหน้าติดตราโลโก้ดีไซน์ใหม่เป็นสีสีดำเงา พร้อมกันชนหน้า-หลังปรับความละเอียดของพื้นผิว ฝากระโปรงหน้ากับช่องระบายอากาศด้านข้างตัวรถปรับรายละเอียดใหม่เป็นลวดลายพื้นผิวใหม่แทนลายเดิมพลาสติกลายตารางหมากรุก หลังคาพาโนรามาเลื่อนเปิดได้
ไฟท้าย LED ทรงเรียบง่ายตกแต่งสีเข้มช่องกระจกเล็กๆ Alpine Light Window ซ้าย-ขวา ตรงส่วนหลังคา ถอดแบบตำนานคลาสสิก ราวหลังคาสีดำทรงบิ๊วอิน หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เสาอากาศครีบฉลาม กระจกมองข้างและที่เปิดประตู ด้านหลังมาพร้อมไฟตัดหมอกหลัง ไฟเบรกดวงที่ 3 ฝาท้ายประตูเปิดแบบบานใหญ่พร้อมเปิดปิดด้วยระบบสุญญากาศ ติดตั้งยางอะไหล่ห้อยบนฝาท้าย และกันชนหลังออกแบบให้ดุด้วยสีเดียวกับตัวรถ พร้อมตะขอลากรถคู่
ภายในมาพร้อมการตกแต่งเพิ่มเติมทั้งเบาะหนัง Windsor สีดำสุดหรู และคานขวางในห้องโดยสารสีเดียวกับตัวรถ พร้อมลวดลายเลเซอร์โลโก้ Trophy ที่ปลายคาน พร้อมจอสัมผัสขนาดใหม่ 13.1 นิ้ว รวมถึงคันเกียร์ออกแบบใหม่จับกระชับขึ้น เทคโนโลยีอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติแบบ Over The Air จึงมีการอัปเดตอยู่เสมอบนหน้าจอสัมผัส Pivi Pro ลำโพงจาก Meridian ช่องเสียบชาร์จ USB-C เพื่อชาร์จอุปกรณ์ขณะเดินทางช่วยให้ผู้โดยสารสะดวกสบายมากขึ้น เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาและหลังแบบ 3 โซนพร้อมระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร (Cabin Air Purification Plus) เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ กระจกมองหลังดิจิทัล ClearSight และจอ Head-up Display
ผสานรวมเทคโนโลยี nanoeTMX สำหรับการลดสารก่อภูมิแพ้ และการกำจัดเชื้อโรค เพื่อช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และไวรัสจำนวนมาก นอกจากนี้ระบบจัดการ CO2 และการกรองอากาศ PM2.5 ในห้องโดยสารยังช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในห้องโดยสารให้ดีขึ้น โดยตรวจสอบอากาศภายในและภายนอก ปรับให้เหมาะสมเพื่อให้มั่นใจว่าผู้โดยสารจะได้สัมผัสกับคุณภาพอากาศที่ดีที่สุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 4 ก้านดีไซน์จับกระชับมือ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 14 ทิศทาง พร้อมห้องโดยสารที่เป็น 2 แถว 5 ที่นั่ง พับในส่วนของตอนที่ 2 40:20:40 จะมีพื้นที่ 972 ลิตรและช่องแช่เย็นคอนโซลกลาง
สเปกไทยมาแบบเบนซินเทอร์โบ PHEV- Plug in Hybrid หรือ P400e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร Ingenium PT204 300 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 143 แรงม้าและความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 19.2 kWh โดยเมื่อทำงานร่วมกันจะได้แรงม้ามากถึง 404 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 43 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มาพร้อมกับสายชาร์จ Mode 2 ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สายชาร์จ Mode 2 จะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงในการชาร์จให้ถึง 100% จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการชาร์จที่บ้านแบบข้ามคืนและด้วยการใช้ตัวชาร์จแบบชาร์จไวขนาด 50 kW ชาร์จได้ถึง 80% ภายใน 30 นาที
พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 มีโหมดออฟโรดเลือกได้ตามเส้นทางที่แตกต่าง ถึง 6 โหมด ทั้ง โหมดการขับขี่ทางเรียบไฮเวย์ Normal Driving, โหมดลุยน้ำ WADE, โหมดลุยในทางโขดหิน Rock Crawl, โหมดลุยทางโคลนและแอ่งโคลน MUD And Ruts, โหมดลุยทางพื้นหญ้า-กรวด-หิมะ Grass- Gravel- Snow และโหมดลุยพื้นทราย Sand พร้อมเกียร์ฝาก 4WD แบบ twin-speed transfer box และ ล็อกเฟืองท้าย Differential Controls ความปลอดภัยครบครันทั้ง
ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติอัจฉริยะ ACC (Adaptive Cruise Control) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM (Blind Spot Monitoring) เตือนการชนด้านหน้าและหยุดรถอัตโนมัติ FCW & AEB (Front Forward Collision Warning & Autonomous Emergency Brake) อ่านป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Recognition)
เตือนภัยก่อนการชนด้านหลัง Rear Collision Monitor ช่วยเตือนขณะถอยหลัง Rear Traffic Monitor เตือนผู้ขับขี่เมื่อเกิดความเมื่อยล้า Driver Condition Monitor ช่วยลดหรือชะลอความเร็วแปรผัน Adaptive Speed Limiterตรวจสอบความลึกของน้ำขณะลุยน้ำแบบเรียลไทม์ Wade Sensing ตรวจวัดความดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System (TPMS) กล้องมองภาพรอบคัน 3D Surround Camera
เบรก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC) ป้องการลื่นไหล Electronic Traction Control (ETC) ช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Launch Assist ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC) ป้องกันการพลิกคว่ำ Roll Stability Control (RSC) ควบคุมการเบรครถยนต์ขณะเข้าโค้ง Cornering Brake Control (CBC) ช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะพ่วง Trailer Stability Assist (TSA) ถุงลมนิรภัยรอบคัน รวมถุงลมนิรภัยคั่นกลางระหว่างเบาะหน้ากับใต้เข่าคนขับ Crash Unlock จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และ อุปกรณ์ป้องกันล้อถูกขโมย เป็นต้น
มาพร้อม 2 สีสุดพิเศษ ได้แก่ Deep Sandglow Yellow สีเหลืองอำพันสื่อถึงเอกลักษณ์ของรถแข่ง Trophy ในอดีต และ สี Keswick Green สีเขียวเข้มที่สื่อถึงการเดินทางสำรวจในชนบทของอังกฤษ จำนวนจำกัดเพียง 10 คันเท่านั้น ด้วยราคาจำหน่าย 7,799,000 บาท