นับเป็นรถเอสยูวีที่ขายดีที่สุดสำหรับ Mazda CX-5 โดยเมืองไทยก็ขายดีด้วยยอดขายสะสม 2 เจนถึง 33,132 คันขณะที่ทั่วโลกมียอดขายสะสมถึง 4.6 ล้านคัน
Mazda CX-5 ปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 7 ปี ในราคาที่ถูกลงสูงสุด 200,000 บาท โดยรุ่นที่นำมารีวิวครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปเบนซิน 2.0 SP
ภายนอกหล่อใหม่เเริ่มที่ตัวรถสีทูโทนสีเดียวกับตัวรถส่วนล่างสีดำ กระจังหน้าทรง Signature Wing ปีกซ้าย-ขวาของกรอบสั้นลงโดยตัวกรอบกระจังหน้าแบบโครเมียมออกแบบไส้ในของชุดกระจังหน้าใหม่ลายรังผึ้งตาข่ายแนวนอนสีดำ Piano Black ไฟหน้าแบบ Dual-Beam LED Signature พร้อมไฟ DRL แบบ LED รูปตัวแอลแนวนอนตัดไฟตัดหมอกหน้า LED ออกไปกับกันชนหน้าออกแบบหรูหราภูมิฐาน
ด้านข้างหรูด้วยกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูนคิ้วโครเมียมที่กรอบกระจกพร้อมหลังคาซันรูฟ เสาอากาศครีบฉลาม เสริมคิ้วขอบประตูตกแต่งสีดำ ด้านท้ายคงเดิมเปลี่ยนดีไซน์ไฟท้าย LED Signature ใหม่เป็นรูปตัวแอลแนวนอนโคมใหม่กันชนหลังออกแบบแผงทับทิมให้อยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นพร้อมท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ กันชนหลังใหม่ออกแบบภูมิฐานด้วยส่วนล่างสีดำ
เพิ่มฝาท้ายเปิด-ปิดด่วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรีและล้ออัลลอยลายใหม่ 5 ก้านคู้สีทูโทนขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/55R19 โดยมีมิติตัวรถดังนี้
- ความยาว 4,575 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,845 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,680 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร
- ความสูงจากใต้ท้องรถ 193 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,583 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 56 ลิตร
ภายในเพิ่มออปชันมาเติมเต็มความทันสมัยด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านเพิ่ม Sport Paddle Shift เพิ่มที่ชาร์จมือถือไร้สาย Wireless Charger จอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ช่องเสียบ USB แบบ Type-C ใหม่!!สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay ไร้สาย และ Android
วัสดุตกแต่งภายในแบบ Metal Wood และสีเงินซาตินโครมตั้งแต่ แผงคอนโซลหน้ารวมถึงแผงประตูขึ้นรูปตกแต่งเข้ม เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำเดินด้ายสีน้ำตาลเสริมภาพลักษณ์โดดเด่นไปอีกขั้นเบาะนั่งออกแบบโอบกระชับทุกการขับขี่ปรับสูง-ต่ำด้วยระบบไฟฟ้าคู่หน้า โดยคนขับปรับได้ 8 ทิศทางพร้อมระบบบันทึกตําแหน่งเบาะได้ 2 ตําแหน่งและดันหลังไฟฟ้าส่วนคนนั่งปรับ 6 ทิศทาง เบาะหลังนั่งสบายขึ้นระดับหนึ่งสามารถปรับเอนได้นิดหน่อยราวๆ 20-30%
พื้นที่วางขากว้างขวางสบายกว่าปรับพับแยกอิสระได้แบบ 3 ส่วน 40:20:40 รวมถึงที่พักแขนและที่มีที่วางแก้วน้ำในตัวแถมเอาใจคนเล่นสมาร์ทโฟนด้วยช่องเสียบ USB มีพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายมีขนาดความจุ 505 ลิตร ติดตั้งไฟส่องสว่างหลายตำแหน่งทั้งไฟอ่านแผนที่ ไฟในห้องโดยสารและไฟในห้องเก็บสัมภาระ ติดตั้งไฟอีกหลายจุดทั้งไฟส่องคอนโซลกลางแบบ Down Light ไฟส่องที่วางเท้าหน้า-หลัง และไฟในกล่องเก็บของด้านหน้า สำหรับคนที่ชอบทำของหล่นในรถแล้วหาไม่เจอโดยเฉพาะ
คอนโซลหน้าดีไซน์นูนเด่น มาตรวัดแบบความเร็วแบบดิจิตอล TFT LCD ขนาด 7 นิ้ว แผงควบคุมแอร์ ปุ่มปรับกระจกมองข้างพรีเมียมขึ้น กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ลำโพงคุณภาพ Bose รอบทิศทาง 10 จุด เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา อัตโนมัติพร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ปุ่ม Push Start และกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Smart Keyless Entry
คอนโซลเกียร์อัตโนมัติหุ้มด้วยวัสดุหนังสลับกับวัสดุสีเงินซาตินโครมตกแต่งด้วยสีดำเปียโนแบล็กวางตำแหน่งคันเกียร์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม 60 เซนติเมตร ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความรู้สึกจับได้ง่ายกว่าเดิม ปุ่ม Parking Brake ที่ใช้งานง่ายพร้อม Auto Hold และ ปุ่ม Push Start กับ กุญแจรีโมท Smart Keyless ตามสมัยนิยม
ขุมพลังเบนซิน SKYACTIV-G มีขายขนาดเดียวขนาด 2.0 ลิตร รหัส PE-VPS 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงด้วยอิเล็กทรอนิก ไดเร็คอินเจ็คชั่น รองรับนำมันเชื้อเพลิงสูงสุด E85 ประหยัดน้ำมัน 13.9 กิโลเมตรต่อลิตรผ่านมาตรฐาน EURO4 พัฒนาให้การตอบสนองที่รวดเร็วกว่าทุกรอบความเร็วประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมระบบโหมดการขับขี่ Drive Selection ที่มีให้เลือกแค่โหมด Sport เท่านั้น
นอกจากหน้าตาใหม่ออปชันภายในใหม่สีสันใหม่แล้วการขับขี่จะแตกต่างจากรุ่นก่อนปรับโฉมหรือไม่ทาง Mazda เปิดโอกาสให้พิสูจน์สมรรถนะความแรงด้วยการเนรมิตรูปแบบการทดสอบแบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวันจัดเส้นทาง กรุงเเทพฯ-ฐานทัพเรือสัตหีบ ชลบุรีด้วยระยะทางไป-กลับ 353.4 กิโลเมตร โดยทางทีมงาน Car2Day ขับรุ่น 2.0 SP ขับในส่วนขากลับเข้ากรุงเทพฯ 182 กิโลเมตร
สิ่งที่สัมผัสได้ตลอดการขับขี่นั่นบุคลิกการขับขี่เปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วยเทคโนโลยีทั้งคัน SKYACTIV เครื่อง 2 ลิตรปรับปรุงเรี่ยวแรงให้ว่องไว ฉับไวในเส้นทางในเมืองการใช้ความเร็วสูงบนทางด่วนมอเตอร์เวย์ ซึ่งเป็นเส้นที่ใช้ร่วมกันกับเพื่อนร่วมทาง ระบบเกียร์ SKYACTIV-Drive 6 สปีด เซตมาอย่างดีราบรื่นนุ่มนวลทุกช่วงเกียร์
ยิ่งมีโหมดการขับขี่แบบ Sport เข้ามาได้อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นในรอบสูงให้ความสนุกเร้าใจไปอีกแบบแม้จะให้โหมดขับขี่มาโหมดเดียวพร้อม Activematic แบบ Manual Mode +/- ไว้ใช้สำหรับขึ้น-ลงทางลาดชันหรือเร่งแซงในบางจังหวะ และมีก้านเหนี่ยวเกียร์หลังพวงมาลัยที่เรียกว่า Paddle Shift เพิ่มอรรถรสในการขับขี่มันส์สะใจ
ช่วงล่างมาแบบอิสระ 4 ล้อด้านหน้าอิสระปีกนก Double Wishbone ช่วงล่างด้านหลังมาแบบอิสระ Multilink พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลังจากเดิมออกแข็งทื่อกระโดกกระดากมาครั้งนี้เปลี่ยนตัวตันมาในแบบนุ่มนวลนิ่งไม่กระโดกกระเดกแม้เส้นทางจะเต็มไปถนนเส้นตรงเรียบบ้างขรุขระบ้างเรียกว่าสั่นสะเทือนน้อยเลยทีเดียวด้วยการเปลี่ยนสปริงและโช๊คใหม่
ช่วยลดแรงสะเทือนที่เข้ามายังพื้นห้องโดยสารด้านล่าง ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นและมอบความสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น เสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถัง
ทำงานร่วมกับ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ทุกโค้งเข้ามั่นใจแม้จะอยู่ในความเร็วสูงและยังลดอการหน้าลื่นท้ายปัดได้อย่างดี ช่วยให้การควบคุมง่ายดายและยังทำงานร่วมกับระบบควบคุมการทรงตัว DSC ระบบห้ามล้อตามสมัยนิยมด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ให้การตอบสนองเบรกทันใจแป้นแบรกน้ำหนักดี ไม่ลึกมาก แม้ระยะการเหยียบเบรกที่ 30%
พวงมาลัยไฟฟ้าให้วงเลี้ยวแคบคล่องตัวน้ำหนักพวงมาลัยดีไม่หนักเกินไปไม่เบาเกินไปเรียกว่าขับได้ทุกเพศทุกวัย แบบ (EPAS) ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อให้การตอบสนองเบรกทันใจแป้นแบรกน้ำหนักดี ไม่ลึกมาก ด้านความปลอดภัยมาครบครันด้วยเทคโนโลยี i-ACTIVSENSE เช่น
- ใหม่! ช่วยควบคุมความเร็ว พวงมาลัย เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสม Cruising & Traffic Support (CTS)
- ใหม่! ระบบปรับลดความเร็วลงตามความเร็วของรถคันหน้าและรักษาระยะห่างกับรถคันหน้าให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติแบบ Stop & Go ในชุดควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control)
- ไฟหน้า LED อัจฉริยะปรับการทํางานของไฟสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้าย-ขวาโดยอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพถนน ALH (Adaptive LED Headlamps) ในรุ่น SP
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- เตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System)
- ช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
- ช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advanced SCBS (Advanced Smart Brake Support)
- เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (Smart Brake Support)
- ช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse)
ความปลอดภัยพื้นฐานทั้งระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทางพร้อมมุมกล้องแบบ Top View กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะขณะถอยหลัง ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC (Dynamic Stability Control) ช่วยออกตัวรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) สัญญาณไฟกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกรถในภาวะฉุกเฉิน ESS (Emergency Signal System) ระบบเบรก ABS ช่วยกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยรอบคันรวม 6 จุด สัญญาณเตือนระยะการจอดทั้งหน้า-หลัง
ด้วยค่าตัวใหม่ถูกลงกว่าเดิม 200,000 บาทเพียง 1,299,000 บาท ทำให้แฟนๆและมือใหม่ที่สนใจกัดฟันเพิ่มเงินไปเอาเจ้าเสือชีตาห์หน้าใหม่อย่าง Mazda CX-5 2.0 SP จนพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Mazda CX-30 2.0 SP (1,199,000 บาท) มองค้อนก็เป็นได้
กับรถเอสยูวีรุ่นใหญ่กว่า CX-30 หลังคาสูงโปร่งสบายกว่า หน้าตาใหม่แม้ออกมานานกว่า ออปชันจัดเต็มพอๆกัน การขับขี่ดีขึ้นกว่าเดิม ช่วงล่างดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ขุมพลัง 2 ลิตรแรงพอตัวด้วยความประหยัด 12.8 กิโลเมตรต่อลิตร
แม้จะปรับหน้าตาช้ากว่าตลาดโลกไป 3 ปี เนื่องจากโรงงานผลิต INOKOM Plant เมือง Kulim รัฐ Kedah ประเทศมาเลเซีย ปรับไลน์มาผลิตหน้าใหม่เมื่อปลายปี 2023 จึงทำให้ตลาดเมืองไทยเปิดตัวช้าแต่อย่างน้อยมาดีกว่าไม่มาถึงจะเป็นรถปลายรุ่นที่ทั่วโลกเตรียมเผยเจนใหม่ในอีกไม่ช้าและมีสีภายนอกรถให้เลือกทั้งหมด 7 สี
- สีใหม่ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz)
- สีใหม่ สีเทา โพลีเมทัล เกรย์ (Polymetal Gray)
- สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal)
- สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray)
- สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black)
- สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู (Deep Crystal Blue)
- สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl)