Toto Wolff ทีมบอส Mercedes กล่าวว่า DNA ตัวแข่ง F1 ของทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในปี 2023 หลังพวกเขาพบปัญหามากมายกับแชสซีส์ปัจจุบัน
Mercedes เหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 สนามเท่านั้นในปี 2022 ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มันกลายเป็นฤดูกาลที่พวกเขาไม่ชนะเลยในรอบ 11 ปี โดยในปีนี้พวกเขาทำผลงานตามหลังคู่แข่งอย่าง Ferrari และ Red Bull อย่างไรก็ตาม เมื่อฤดูกาลผ่านพ้นไป ค่ายศรเงินก็เริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Lewis Hamilton เกือบที่จะชนะการแข่งขัน US Grand Prix ไปได้ ด้วยความช่วยเหลือของการอัปเกรดรถครั้งสุดท้ายของฤดูกาล 2022 เขาจบการแข่งขันในอันดับ 2 โดยเสียอันดับผู้นำไปใน 7 รอบสุดท้าย
การอัปเกรดรถ F1 ของ Mercedes นั้น พวกเขาตั้งใจว่าจะใช้พวกมันเพื่อดูทิศทางของการพัฒนาตัวแข่งสำหรับปี 2023 ซึ่งน่าจะเป็นทิศทางที่เปลี่ยนไปจากปีนี้ หลังจากที่พวกเขาต้องแก้ปัญหาตัวรถมากมายกับตัวแข่ง W13
“DNA ของตัวรถนั้นจะเปลี่ยนไปในปีหน้า นั่นเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจน” Wolff กล่าว “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวบอดี้รถของเราจะดูแตกต่างไปจากเดิม แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของตัวรถ สถาปัตยกรรมของตัวรถ จะถูกเปลี่ยนไปในปีหน้า”
Mercedes นั้นสตาร์ทฤดูกาลอย่างยากลำบากในตอนแรกเนื่องจากปัญหาการกระดอนของตัวรถ แต่ทีมงานก็สามารถค้นพบต้นตอของปัญหาที่ฝังอยู่ในงานออกแบบ และเริ่มกลับมาเข้าสู่เส้นทางการไล่ล่าหลังจากที่มีการอัปเกรดรถขนานใหญ่ที่บาร์เซโลนา
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทางทีมไม่สามารถที่จะต่อกรกับ Red Bull ได้เลยคือ ความเร็วบนทางตรง ซึ่งมันเป็นอีกครั้งที่ความเร็วที่ด้อยกว่าของพวกเขาทำให้โดน Red Bull ฉีกแซงราวกับจรวด และคว้าชัยชนะตัดหน้าพวกเขาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ผมคิดว่า ภายใต้การใช้งาน DRS พวกเขาเร็วกว่าเราราว ๆ 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง” Hamilton กล่าว “แต่ถึงจะไม่มี DRS พวกเราก็ช้ากว่าพวกเขาอยู่ประมาณ 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นทำให้เราเสียเวลาบนทางตรงไปราว ๆ 0.4 วินาที/รอบ ดังนั้นเรามีงานที่ต้องแก้ไขกับรถของเราในปีหน้า”
ในปีหน้า Mercedes จะมีแต้มต่อในเรื่องของการทำงานกับอุโมงค์ลมที่เพิ่มขึ้นสำหรับการพัฒนาทางด้านอากาศพลศาสตร์ ซึ่งถ้า Mercedes จบฤดูกาลในอันดับ 3 พวกเขาจะสามารถใช้งานอุโมงค์ลมได้มากกว่า Red Bull อยู่ 14 เปอร์เซ็นต์ และนั่นเป็นสิ่งที่ Wolff คิดว่าจะช่วยให้พวกเขาก้าวไปได้เร็วกว่า
“ถ้ามองในแง่มุมนั้น (กฎการใช้งานอุโมงค์ลม) มันเป็นข้อเสียที่สำคัญมาก เพราะในปี 2021 เราเป็นทีมแชมป์โลก” Wolff กล่าว “ดังนั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 เรามีเวลาทำงานในอุโมงค์ลมน้อยกว่า Red Bull 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วง 18 เดือนก่อน และน้อยกว่า Ferrari เป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้มันสวิงไปในทิศทางตรงกันข้าม”
“เมื่อเทียบกับ Red Bull เราจะมีการทำงานกับอุโมงค์ลมมากกว่าพวกเขาอยู่ 14 เปอร์เซ็นต์ หากเราจบฤดูกาลในอันดับ 3 นั่นเป็นสิ่งที่กฎถูกออกแบบมา เพื่อช่วยให้เราต่อสู้กลับในการกลับขึ้นไป”
อ้างอิง : motorsport.com