ในที่สุด MG IM6 หรือ IM LS6 ไมเนอร์เชนจ์ เปิดราคาอย่างเป็นทางการที่จีนและยอดจองก็เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 คันภายใน 27 นาทีหลังเปิดราคา
MG IM6 หรือ IM LS6 มิดไซซ์เอสยูวี ด้วยหน้าตาใหม่ปรับรอบสองหลังจากแต่งเล็กน้อยมาครบทั้งขุมพลังอีวีล้วนและอีวีขยายระยะทาง
ด้านหน้าใหม่
- ชุดไฟหน้า LED จากทรงรูปตัวเจรมดำมาเป็นรูปตัววายรมดำทั้งแผงตั้งแต่ส่วนบนชุดไฟหน้า DRL ส่วนบนรูปตัวแอลพร้อมไฟ DRL ดวงเล็ก 4 จุด ถัดลงมาเป็นไฟหน้า LED แนวตั้ง
- กระจังหน้าทรงทึบในชุดกันชนหน้าออกแบบใหม่พร้อมช่องระบายอากาศที่ใหญ่ขึ้น
- เสริมคิ้วโครเมียมใต้กันชนในบางรุ่น
- กรอบกระจกโครเมียมในบางรุ่น
- คิ้วชายล่างประตูสีดำในบางรุ่น
- กันชนหลังออกแบบใหม่โดยแผงทับทิมสะท้อนแสงออกแบบเป็นเส้นแนวนอนแทนแนวตั้งเดิมในชุดลิ้นสปอยเลอร์หลัง
- ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาดใหญ่ 21 นิ้ว ขนาดยางหน้า 235/45 R21 และขนาดยางหลัง 265/40 R21 และขนาด 20 นิ้วตกแต่งรมดำ พร้อมยาง 235/50R20
ด้านข้างเท่ด้วย หลังคากระจกพาโนรามิก เซนเซอร์ LiDAR กระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวกระจกรถแบบไร้กรอบ Frameless แบบโอเปร่า ที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ (Hidden Door Handle) ไฟท้าย LED รมดำดีไซน์รูปตัวเอยาวจากซ้ายไปขวารับกับฝาท้ายมีสปอยเลอร์ในตัวพร้อมฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ เตะเปิดอัตโนมัติ
มิติตัวรถ
- ความยาว 4,937 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,988 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,671 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,960 มิลลิเมตร
- ที่จุสัมภาระด้านหน้า 32 ลิตร ในรุ่นอีวี
ภายในยกเครื่องงานดีไซน์
- ชุดคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่หมดติดตั้งจอสัมผัสคู่แบบลอยตัวขนาดใหญ่ 5K อัตราส่วน 16:9 อยู่ด้านหน้าผู้ขับขี่และตรงกลางขนาด 27.1 นิ้ว
- ชุดจอสัมผัสระบบความบันเทิงและมีฝั่งคนนั่งความละเอียดชัดแบบ 3K ขนาด 15.6 นิ้ว แบบ Co-Pilot
- เชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย ระบบสั่งการอัจฉริยะ เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
- ระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 จุด ประกอบด้วย ลำโพงรอบทิศทาง 16 จุด และลำโพงบริเวณหลังคา 4 จุด
- ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 8295
ชุดพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันมีทั้งแบบพวงมาลัยตัดหัวตัดท้ายทรงล้ำยุคหรือ YOKE ไม่รบกวนการมองเห็นบนหน้าจอขนาดใหญ่และแบบปกติ 3 ก้านท้ายตัดให้เลือก ออกแบบคันเกียร์ที่คอพวงมาลัยใหม่มาพร้อมแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ที่วางแก้วน้ำสองช่อง และช่องเก็บของที่กว้างขวาง คอนโซลกลางมีปุ่มควบคุมต่างๆ มากมาย ส่วนแผงประตูของรถปรับปรุงใหม่มีปุ่มควบคุมแทนมือจับ
ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร Ambient Light ที่สามารถเปลี่ยนได้ 256 เฉดสี และปุ่มปรับเบาะไฟฟ้า เบาะนั่งแถวที่สองมีตู้เย็นที่สามารถอุ่นอาหารและเครื่องดื่มได้ มีซันรูฟแบบพาโนรามาและระบบเสียงขั้นสูงมีอัตราการใช้พื้นที่สูงสุดที่ 90%
เบาะนั่ง Co-Pilot แบบ Zero Gravity ทรงขนมปัง พร้อมสัมผัสพรีเมียมโดยหุ้มด้วยวัสดุสังเคราะห์ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง โดยเบาะคู่หน้าเป็นแบบระบายความร้อน เบาะเย็น พร้อมระบบนวดสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และด้านหลัง เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 60:40 พื้นที่สัมภาระด้านท้ายมีความจุ 646-665 ลิตร และ 1,621-1,640 ลิตรกรณีพับเบาะ
พร้อมที่เก็บสัมภาระเพิ่มเติมที่ท้ายรถได้อีก 69 ลิตรและเบาะนั่งหน้าฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้าเอนเบาะได้สุด 121 องศาและพนักพิงเบาะนั่งหลังเพิ่มมุมอีก 19-37 องศาและตู้เย็นขนาด 11 ลิตร
ขุมพลัง
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อมีให้เลือก
โดยรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังให้กำลัง 333 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร จากชุดแบตเตอรี่ขนาด 76 kWh ระยะทางไกลสุด 650 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 627 กิโลเมตร (NEDC) ด้านรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ จากชุดแบตเตอรี่ขนาด 103 kWh ให้กำลังล้อหน้า 272 แรงม้า และล้อหลัง 408 แรงม้า ตามลำดับ ให้กำลังรวม 680 แรงม้า ระยะทางไกลสุด 750 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 724 กิโลเมตร (NEDC) สร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.48 วินาที
รองรับการชาร์จกระแสตรง DC ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 900 V โดยมีแรงดันไฟฟ้าขณะใช้งานสูงสุดที่ 875 V และเซลล์ในชุดแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้สูงสุด 396 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟ DC ภายใน 5 นาที สามารถวิ่งได้ระยะทาง 200 กิโลเมตร และหากชาร์จ DC ภายใน 15 นาที สามารถทำระยะทางได้ไกลถึง 310 กิโลเมตร
และขุมพลังใหม่ไฟฟ้าขยายระยะทาง EREV Extended Range Electric Vehicle จากเบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร รหัส 15FNE ทำหน้าที่ปั่นไฟให้กำลัง 155 แรงม้าส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังแบบซิลิคอนคาร์ไบด์ “Hurricane” 800V โดยกำลังสูงสุดอยู่ที่ 313 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฃในรุ่น AWD ให้แรงม้ารวม 670 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.48 วินาที และ 6.4 วินาที ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง
ชุดแบตเตอรี่แบบ Freevoy Super Max โดยมี 2 รูปแบบเริ่มที่ ขนาดแบตเตอรี่ 52 kWh วิ่งอีวีไกลสุด 370 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 357 กิโลเมตร (NEDC) และวิ่งได้ระยะทางรวมสูงสุด 1,400 กิโลเมตร และความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 66 kWh ทั้งแบบ LFP และ NMC แบบสามเฟส จากบริษัทร่วมทุน SAIC-CATL วิ่งอีวีไกลสุด 450 กิโลเมตร (CLTC) หรือ 434 กิโลเมตร (NEDC) และวิ่งได้ระยะทางรวมสูงสุด 1,502 กิโลเมตร
ชาร์จได้ทั้ง AC และ DC รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 268 kW โดยชาร์จเร็ว 15 นาที เพิ่มระยะทางวิ่งได้ 310 กิโลเมตร แม้แบตเตอรี่จะเหลือเพียง 16% ก็สามารถให้กำลังชาร์จสูงสุด 275.5 kW และการชาร์จในช่วงฤดูหนาวจะเริ่มต้นที่ 170 kW
พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงด้วย LiDAR 520 แบบออนบอร์ด ไม่ต้องใช้แผนที่ความละเอียดสูง ขับเคลื่อนด้วยชิป Nvidia Drive Thor มาพร้อม Lingxi digital chassis แชสซีดิจิทัล ที่ทาง IM พัฒนาเอง อัพเกรดเทคโนโลยีพวงมาลัยไฟฟ้าจะใช้เซนเซอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และมอเตอร์ไฟฟ้าในการควบคุมการทำงานแทนระบบเดิมที่เชื่อมต่อทางกลไกโดยตรงระหว่างพวงมาลัยและล้อ หรือ MKC2 Steer-by-Wire (SbW) จาก Continental ที่มีรัศมีวงเลี้ยว 4.79 เมตรจากระบบเลี้ยว 4 ล้อ 18 องศา
MG IM6 ไมเนอร์เชนจ์ ขาย 9 รุ่นย่อยแบ่งเป็น BEV 5 รุ่น และ EREV 4 รุ่น มีสีภายนอก 6 สี ในราคาเริ่ม 197,900-269,900 YUAN หรือราว 885,000-1,205,000 บาท ในรุ่น BEV และ 202,900-249,900 YUAN หรือราว 905,000-1,115,000 บาทในรุ่น EREV
ที่มา CarNewsChina

















