อีกหนึ่งรุ่นของ MG เปิดตัวพร้อมกับ MG IM5 กับ MG IM6 เอสยูวีไฟฟ้าพวงมาลัยขวาทำตลาดต่อจากไทย ในฐานะ “The First-ever Premium Intelligent e-SUV”
MG IM6 หรือ IM LS6 รถพรีเมียมอีวีอัจฉริยะ (Premium Intelligent e-SUV) โดดเด่นด้วยความสะดวกสบาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และพื้นที่ภายใน ที่กว้างขวาง ตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวยุคใหม่ได้อย่างครบถ้วน ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่า
ตั้งแต่กระจังหน้าทรงทึบดีไซน์ใหม่ออกแบบคิ้วชายล่างต่อเนื่องชิ้นเดียวรวมถึงคิ้วมุมกันชนหน้าซ้าย-ขวารูปตัว C ไฟหน้า LED และไฟ DRL แบบ LED รูปตัวแอลมาแบบรมดำด้านข้างเท่ด้วย หลังคากระจกพาโนรามิก กระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวกระจกรถแบบไร้กรอบ Frameless แบบโอเปร่า ที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ (Hidden Door Handle) คิ้วชายล่างประตูสีดำ
ไฟท้าย LED รมดำดีไซน์รูปตัวเอยาวจากซ้ายไปขวารับกับฝาท้ายมีสปอยเลอร์ในตัวพร้อมฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมระบบ เตะเปิดอัตโนมัติ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 21 นิ้ว ขนาดยางหน้า 235/45 R21 และขนาดยางหลัง 265/40 R21 ในรุ่น Performance AWD และขนาด 20 นิ้วตกแต่งรมดำ พร้อมยาง 235/50R20 ในรุ่น Premium โดยยางทั้ง 2 ขนาดมาจาก PIRELLI New Scorpion มิติตัวรถตั้งแต่
- ความยาว 4,904 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,988 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,669 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 145-164 มิลลิเมตร
- ที่จุสัมภาระด้านหน้า 32 ลิตร
ภายในเรียบง่ายมีจอลอยตัวขนาดใหญ่แบบ Intelligent Immersive Touch Screens 2 จอขนาดใหญ่ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 26.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 5 นิ้ว สำหรับควบคุมส่วนต่าง ๆ ภายในรถ เชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย ระบบสั่งการอัจฉริยะ IM OS เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ ระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 จุด ประกอบด้วย ลำโพงรอบทิศทาง 16 จุด และลำโพงบริเวณหลังคา 4 จุด
Interactive Ambient Light ที่สามารถเปลี่ยนได้ 256 เฉดสี กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down กระจกมองหลังแบบ Streaming Media Rearview Mirror ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกโซนอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ให้ความนุ่มนวลและสบายในทุกที่นั่งด้วยเบาะนั่ง POPO Sofa ทรงขนมปัง พร้อมสัมผัสพรีเมี่ยมโดยหุ้มด้วยวัสดุสังเคราะห์ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง โดยเบาะคู่หน้าเป็นแบบระบายความร้อน พร้อมระบบนวดสำหรับผู้ขับขี่ เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 60:40 พื้นที่สัมภาระด้านท้ายมีความจุ 646-665 ลิตร และ 1,621-1,640 ลิตรกรณีพับเบาะพร้อมที่เก็บสัมภาระเพิ่มเติมที่ท้ายรถได้อีก 69 ลิตรและเบาะนั่งหน้าฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้าเอนเบาะได้สุด 121 องศาและพนักพิงเบาะนั่งหลังเพิ่มมุมอีก 19-37 องศา
ออสเตรเลียต่างจากไทยขายกัน 3 รุ่นย่อยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 400V IGBT Platform กับความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน LFP ขนาด 75 kWh รุ่น Premium RWD เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังให้พละกำลังสูงสุด 295 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.8 วินาที วิ่งได้ระยะทางต่อต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 505 กิโลเมตร (NEDC) หรือ 450 กิโลเมตร (WLTP) ทำความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จแบบเร็ว DC Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 30-80% ใช้เวลาน้อยกว่า 20 นาที รองรับการชาร์จแบบกระแสตรงสูงสุด 153 kW และชาร์จช้า AC 11 kW
พร้อมรุ่นที่เป็นแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 800V SiC Platform กับความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน NCM ขนาด 100 kWh มี 2 รุ่นเริ่มที่รุ่น Platinum RWD (รุ่นนี้ไม่มีขายในไทย) เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังให้พละกำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.4 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทางต่อต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 670 กิโลเมตร (NEDC) หรือ 555 กิโลเมตร (WLTP) ทำความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนรุ่น Performance AWD เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อให้พละกำลังสูงสุด 778 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 802 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ด้านหน้า 272 แรงม้า แรงบิด 302 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหลัง 506 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 239 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทาง 600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (NEDC) หรือ 525 กิโลเมตร (WLTP)
ทั้ง 2 รุ่น ชาร์จเร็ว DC Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 30-80% ใช้เวลาน้อยกว่า 15.2 นาที รองรับการชาร์จแบบกระแสตรงสูงสุด 396 kW และชาร์จช้า AC 11 kW มีโหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ Eco/Comfort/Sport/Snow/Custom และ Super Eco ซึ่งจะดึงไฟสำรองจากแบตเตอรี่มาใช้อีก 80 กิโลเมตร สำหรับในยามฉุกเฉิน
มีระบบ Cooling system เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถระบายความร้อนได้ 15 องศาเซลเซียส ภายในเวลาเพียง 30 วินาที พร้อม ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 2 ระดับ และ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสูงสุด 6.6 kW
รัศมีวงเลี้ยว 5.09 เมตร ทำให้ขับเลี้ยวและเข้าออกในพื้นที่แคบได้อย่างง่ายดาย ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน จาก Continental ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ Double Wishbone พร้อมระบบถุงลม และด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์พร้อมระบบถุงลมสำหรับรุ่น Performance AWD
ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ (Intelligent Four-Wheel Steering System) ทำให้การเปลี่ยนเลน มีเสถียรภาพแม้ในช่วงความเร็วสูง รวมถึงทำให้การกลับรถในที่แคบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมช่วงล่างถุงลมอัตโนมัติ (Intelligent Air Suspension) สามารถปรับสูง-ต่ำได้ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับความสูงปกติ (Standard) ปรับเตี้ยลง 5 เซนติเมตร และปรับสูงขึ้น 2 เซนติเมตร พร้อมปรับการทำงานอัตโนมัติตามรูปแบบการขับขี่
มั่นใจในทุกเส้นทางกับเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยด้วย ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย มอบความมั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM
MG IM6 จากแบรนด์ IM Motors แบรนด์ที่มาจากการร่วมทุนของ SAIC Motor, Alibaba และ Shanghai Zhangjiang Hi-Tech Park Development โดยมีสีตัวถังให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีชมพู Ferdinand Pink สีขาว Raphael Beige สีดำ Ares Black สีเทา Rembrandt Grey และสีน้ำเงิน Nevis Blue เปิดขายออสเตรเลีย 3 รุ่นย่อยทั้งรุ่น PREMIUM 75KWH RWD, PLATINUM 100KWH RWD และ PERFORMANCE 100KWH AWD ในราคาเท่ากับ MG IM5 เริ่มต้น $60,990-$80,990 เป็นราคารวมค่าจดทะเบียนและภาษีถนน On-Road (Drive-Away) หรือราว 1,285,000-1,705,000 บาท
ที่มา CarExpert