ในที่สุด SAIC Motor ได้ฤกษ์เปิดตัว MG ZS Hybrid+ เจเนอเรชันที่ 2 อย่างเป็นทางการชูจุดเด่นด้วยหน้าตาใหม่หมดขุมพลังใหม่หมดแบบฟูลไฮบริด
MG ZS Hybrid+ เจนใหม่หวังเจาะตลาดกลุ่มคนเมืองทันสมัยโดยบุกตลาดทั่วโลกทั้งยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เอเชีย อาเซียน ซึ่งรวมถึงเมืองไทย
ภายนอก Exterior
หน้าตาคล้ายกับภาพสิทธิบัตรและภาพหลุดที่เคยนำเสนอไปด้วยหน้าตาทั้งคันใหญ่กว่าเจนปัจจุบันหล่อหรูด้วยไฟหน้า LED ทรงสปอร์ตด้านหน้าด้วยช่องระบายอากาศทรงรังผึ้งขนาดใหญ่ในชุดกันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED โลโก้ MG ติดบนกระจังหน้ากริตเตอร์ขอบใหญ่ขอบสีเดียวกับตัวรถ
ประกบไฟหน้า LED ทรงสปอร์ต ด้านข้างกลมกลืนด้วยเส้นสายลงตัว พร้อมกระจกมองข้างติดไฟเลี้ยวที่เปิดประตูดึงก้าน ราวหลังคา ไฟท้าย LED แบ่งเป็นสองฝั่งไม่แนวยาว ย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนท้ายมาอยู่ข้างๆไฟท้าย พร้อมกันชนหลังดีไซน์เท่ ล้ออัลลอยดีไซน์หรูสง่าตั้งแต่ขนาดใหญ่ 18 นิ้ว และมีขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55 R17 กับขนาดเล็ก 16 นิ้ว นิ้วพร้อมยาง 215/60 R16
ภายใน Interior
มีความคล้ายกับรุ่น ZS เจนปัจจุบันในส่วนของช่องแอร์คู่ขอบสีเงินตรงบริเวณชุดแผงคอนโซลหน้าส่วนกลางกับจอสัมผัสระบบความบันเทิงขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วรองรับความบันเทิงใหม่ทั้ง GPS navigation, Android Auto, and Apple CarPlay พร้อมลำโพง 6 จุด
มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ถัดลงมาเป็นปุ่มการทำงานของตัวรถแบบเปียโนมีความคล้ายกับ MG3 เจนใหม่และ MG4 Electric พร้อมกิ๊ปเกียร์อัตโนมัติดีไซน์ใหม่ขอบสีเงิน พร้อมปุ่มเบรกมือไฟฟ้ากับ Auto Hold และ ปุ่มโหมดการขับขี่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านดีไซน์สวยและมาตรวัดดิจิทัลแสดงผลอัจฉริยะ (Digital Multi-function Display)
สมรรถนะ Performance
ยกมาจาก MG3 Hybrid+ ปรับเรี่ยวแรงใหม่โดยเฉพาะขุมพลังฟูลไฮบริดจากเบนซินรหัส 15S4C 1.5 ลิตร Hybrid Atkinson-cycle กำลังสูงถึง 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 128 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังถึง 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาดความจุ 1.83 kWh
เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 196 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.7 วินาที ประหยัดสุด 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Three-speed พร้อมการขับขี่ที่สามารถเลือกโหมดได้สามโหมด Eco, Standard และ Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าเพียวๆ 80 กิโลเมตร และยังมีโหมดการขับขี่พิเศษ Hybrid+ เลือกได้แบบอัตโนมัติทั้ง EV, Series, Series and Charge, Drive and Charge และ Parallel
ทางด้านสันดาปก็ยังมีตามปกติทั้ง เบนซินเทอร์โบหัวฉีด TGI 1.3 ลิตร ให้กำลังมากสุด 156 แรงม้าที่ 5,200-5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและเบนซิน 1.5 ลิตร VTi–TECH รหัส 15S4C ให้กำลัง 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด
ความปลอดภัย Safety
มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมความปลอดภัยอัจฉริยะ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวย ความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุดังนี้
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน AEB (Active Emergency Braking with pedestrian and bicyclist detection)
- เตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
- ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
- ควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist)
- เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- เบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
- เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ
- เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
- ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
MG ZS Hybrid+ สานต่อความสำเร็จในด้านความนิยมทั้งด้านยอดขายและชมชอบมานานในร่างเจเนอเรชันใหม่ประเดิมขายที่อังกฤษตุลาคมนี้ในราคาเริ่มต้น £21,995 หรือราว 989,000 บาท ทางด้านออสเตรเลียเปิดตัวในขุมพลังเบนซินล้วนก่อนสิ้นปี 2024 หลังจากนั้นรุ่นฟูลไฮบริดมาปี 2025 ด้านเมืองไทยมาแน่นอนแต่จะมาปลายปีนี้หรือปีหน้าต้องติดตม
ที่มา Carscoops