More

    MG ZS Hybrid+ พลังไฮบริด 196 ม้า ขายอังกฤษตุลาคม ไทยมาแน่นอน

    ในที่สุด SAIC Motor ได้ฤกษ์เปิดตัว MG ZS Hybrid+ เจเนอเรชันที่ 2 อย่างเป็นทางการชูจุดเด่นด้วยหน้าตาใหม่หมดขุมพลังใหม่หมดแบบฟูลไฮบริด

    MG ZS Hybrid+ เจนใหม่หวังเจาะตลาดกลุ่มคนเมืองทันสมัยโดยบุกตลาดทั่วโลกทั้งยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เอเชีย อาเซียน ซึ่งรวมถึงเมืองไทย

    ภายนอก Exterior

    MG

    หน้าตาคล้ายกับภาพสิทธิบัตรและภาพหลุดที่เคยนำเสนอไปด้วยหน้าตาทั้งคันใหญ่กว่าเจนปัจจุบันหล่อหรูด้วยไฟหน้า LED ทรงสปอร์ตด้านหน้าด้วยช่องระบายอากาศทรงรังผึ้งขนาดใหญ่ในชุดกันชนหน้าพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED โลโก้ MG ติดบนกระจังหน้ากริตเตอร์ขอบใหญ่ขอบสีเดียวกับตัวรถ

    ประกบไฟหน้า LED ทรงสปอร์ต ด้านข้างกลมกลืนด้วยเส้นสายลงตัว พร้อมกระจกมองข้างติดไฟเลี้ยวที่เปิดประตูดึงก้าน ราวหลังคา ไฟท้าย LED แบ่งเป็นสองฝั่งไม่แนวยาว ย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนท้ายมาอยู่ข้างๆไฟท้าย พร้อมกันชนหลังดีไซน์เท่ ล้ออัลลอยดีไซน์หรูสง่าตั้งแต่ขนาดใหญ่ 18 นิ้ว และมีขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55 R17 กับขนาดเล็ก 16 นิ้ว นิ้วพร้อมยาง 215/60 R16

    ภายใน Interior

    MGมีความคล้ายกับรุ่น ZS เจนปัจจุบันในส่วนของช่องแอร์คู่ขอบสีเงินตรงบริเวณชุดแผงคอนโซลหน้าส่วนกลางกับจอสัมผัสระบบความบันเทิงขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วรองรับความบันเทิงใหม่ทั้ง GPS navigation, Android Auto, and Apple CarPlay พร้อมลำโพง 6 จุด

    มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว  ถัดลงมาเป็นปุ่มการทำงานของตัวรถแบบเปียโนมีความคล้ายกับ MG3 เจนใหม่และ MG4 Electric พร้อมกิ๊ปเกียร์อัตโนมัติดีไซน์ใหม่ขอบสีเงิน พร้อมปุ่มเบรกมือไฟฟ้ากับ Auto Hold และ ปุ่มโหมดการขับขี่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านดีไซน์สวยและมาตรวัดดิจิทัลแสดงผลอัจฉริยะ  (Digital Multi-function Display)

    สมรรถนะ Performance 

    MG

     

    ยกมาจาก MG3 Hybrid+ ปรับเรี่ยวแรงใหม่โดยเฉพาะขุมพลังฟูลไฮบริดจากเบนซินรหัส 15S4C 1.5 ลิตร  Hybrid Atkinson-cycle กำลังสูงถึง 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 128 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังถึง 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาดความจุ 1.83 kWh

    เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 196 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.7 วินาที ประหยัดสุด 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Three-speed พร้อมการขับขี่ที่สามารถเลือกโหมดได้สามโหมด Eco, Standard และ Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าเพียวๆ 80 กิโลเมตร และยังมีโหมดการขับขี่พิเศษ Hybrid+ เลือกได้แบบอัตโนมัติทั้ง EV, Series, Series and Charge, Drive and Charge และ Parallel

    ทางด้านสันดาปก็ยังมีตามปกติทั้ง เบนซินเทอร์โบหัวฉีด TGI 1.3 ลิตร ให้กำลังมากสุด 156 แรงม้าที่ 5,200-5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและเบนซิน 1.5 ลิตร VTi–TECH รหัส 15S4C ให้กำลัง 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด

    ความปลอดภัย Safety

    MG

    มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมความปลอดภัยอัจฉริยะ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวย ความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุดังนี้

    • ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
    • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
    • ช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
    • เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน AEB (Active Emergency Braking with pedestrian and bicyclist detection)
    • เตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
    • ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
    • เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
    • ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
    • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
    • ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
    • ควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist)
    • เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
    • สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
    • เบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
    • เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
    • ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
    • ป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ
    • เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
    • ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
    • ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
    • ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
    • ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
    • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
    • กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
    • จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
    • ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
    • สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
    • กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
    • ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)

    MG

     

    MG ZS Hybrid+ สานต่อความสำเร็จในด้านความนิยมทั้งด้านยอดขายและชมชอบมานานในร่างเจเนอเรชันใหม่ประเดิมขายที่อังกฤษตุลาคมนี้ในราคาเริ่มต้น £21,995 หรือราว 989,000 บาท ทางด้านออสเตรเลียเปิดตัวในขุมพลังเบนซินล้วนก่อนสิ้นปี 2024 หลังจากนั้นรุ่นฟูลไฮบริดมาปี 2025 ด้านเมืองไทยมาแน่นอนแต่จะมาปลายปีนี้หรือปีหน้าต้องติดตม

    ที่มา Carscoops

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts