MG พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวยานยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นที่ 2 ของค่ายต่อจาก MG VS HEV กับ MG3 Hybrid+ ในร่างเก๋งแฮทช์แบ็ก 5 ประตู
MG3 Hybrid+ ตั้งใจท้าชนกับ Honda City Hatchback e:HEV โดยตรงและผ่านการทดสอบสมรรถนะหลากสภาพอากาศ และทุกสภาพถนนในไทย รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร
ภายนอก Exterior
เด่นด้วยหน้าตานำแรงบันดาลใจจาก MG4 Electric ด้วยช่องระบายอากาศดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะแบบ Digital Burning Grille ไฟหน้า LED ทรงเรียวเพรียวสปอร์ต โลโก้ MG อยู่ตรงชุดกระจังหน้าแบบทึบ ชุดกันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอกหน้าทรงกลมด้านข้างเส้นสายดูกลมกลืนประณีตพร้อมดีไซน์หลังคารถที่ลาดลงตามยุคสมัย กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ที่เปิดประตูแบบดึงก้าน ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED ลงตัวด้วยกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมสปอยเลอร์หลัง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วลายห้าก้านทูโทนพร้อมยาง 195/55R16 พร้อมมิติตัวรถดังนี้
- ความยาว 4,113 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,797 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,502 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 148 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 1,208-1,308 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 36 ลิตร
ภายใน Interior
ทันสมัยด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำลวดลายเพชรแผงประตูขึ้นรูปที่สวยงาม เบาะหลังพับได้แบบ 100% พร้อมพื้นที่สัมภาระมากถึง 293 ลิตรแผงคอนโซลหน้าดีไซน์ไฮเทค พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันยกมาจาก MG4 Electric ติดตั้งจอคู่ประกอบด้วยมาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 7 นิ้ว มีจอสัมผัสขนาดใหญ่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ขนาด 10.25 นิ้ว มีช่องเสียบ USB ลำโพง 6 จุด ถัดลงมาเป็นสวิตช์การทำงานที่จำเป็นช่องแอร์ดีไซน์หรู และเกียร์อัตโนมัติแบบปุ่มหมุน Shift By Wire พร้อมเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ที่ช่วยยกระดับคุณค่าและประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี รวมถึงการเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ให้ง่ายยิ่งขึ้น
ขุมพลัง Interior
เป็นเบนซิน 1.5 ลิตร Hybrid Atkinson-cycle รหัส 15S4C กำลังสูงถึง 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 128 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังสามารถเร่งได้อย่างราบรื่นให้กำลังถึง 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาดความจุแบต 1.83 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิดรวม 250 นิวตันเมตร ให้ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8 วินาที ประหยัดสุด 22.73 กิโลเมตรต่อลิตร รองรับน้ำมัน E20 คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น พร้อมการขับขี่ที่สามารถเลือกโหมดได้สามโหมด Eco, Standard และ Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าเพียวๆ 80 กิโลเมตร
และยังมีโหมดการขับขี่พิเศษ Hybrid+ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว พร้อมระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
ความปลอดภัย Safety
มาครบเต็มคันไม่ว่าจะเป็น MG Pilot ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS และความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS
- กระจายแรงเบรก EBD
- เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ
- ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS
- ป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการลื่นไถล TCS
- ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- สัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- กุญแจนิรภัย Immobilizer
- ล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา ทำงานร่วมกับเซนเซอร์กะระยะการจอด
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX กุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
เก๋งท้ายตัดจากค่าย MG มีทั้งหมด 7 สีทั้ง สีดำ Pebble Black, สีขาว Dover White, สีบรอนซ์เงิน Cosmic Silver, สีเหลืองPastel Yellow, สีแดง Diamond Red, สีเทา Hampstead Grey, สีน้ำเงิน Como Blue เตรียมมาเมืองไทย สิงหาคมนี้ คาดทันงาน Big Motor Sale 2024