More

    MINI COOPER SE เจนใหม่พลังอีวีวิ่งไกล 402 กม.ในราคาว้าว 1.699 ล้านบาท

    หลังจากสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆมินิชาวไทยกับการแนะนำ MINI COOPER SE ตั้งแต่ 2020 จนมียอดขายอยู่ในระดับที่ดีมาตลอด

    MINIและถึงเวลาเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อ MINI COOPER เจเนอเรชันที่ 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการรวมถึงเมืองไทยในร่าง Hatch 3 ประตู SE รหัส J01 โดยรุ่นอีวีเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง BMW Group และ GWM

    ภายนอก Exterior

    MINIนำดีไซน์ดีเอ็นเอดั้งเดิมมาผสมผสานเข้านวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% กับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างลงตัว ต่อยอดประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบ “Electrified Go-Kart” ความเรียบง่ายอันทรงเสน่ห์ ทั้งส่วนหน้ารถที่สั้น ฐานล้อยาว และล้อขนาดใหญ่ที่เติมบุคลิกความสปอร์ตแบบเต็มพิกัด มือจับประตูที่กลมกลืนกับพื้นผิวของตัวรถ เช่นเดียวกับซุ้มล้อและขอบด้านข้างรถที่เสมอกับผิวตัวถังรอบคัน ทำให้รถดูมีขนาดใหญ่ขึ้น

    ด้านหน้าของรถยังคงโดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ประจำตัวแบบ LED สามารถสร้างสีสันที่สะท้อนสไตล์และตัวตนของผู้ขับขี่ได้เด่นชัดยิ่งกว่าเดิมด้วยโหมดไฟซิกเนเจอร์ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW ดูสะดุดตาเคียงข้างกับกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมโฉมใหม่ที่ขับเน้นความสปอร์ตจากกรอบสีเงิน Vibrant Silver สไตล์ความมินิมอลในงานออกแบบยังเห็นได้จากด้านข้างตัวถังที่ไม่มีแถบสีดำ เข้าคู่กับตัวถังที่เพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.28 เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน

    ส่วนด้านท้ายสวยสะอาดตา มีสัดส่วนและเส้นสายของตัวรถที่ดูทรงพลัง และคาดกลางด้วยแถบสีดำแนวนอนบริเวณกึ่งกลางฝากระโปรงท้าย และล้อลายเท่ขนาด 18 นิ้ว แบบ Slide spoke ในดีไซน์ทูโทนพร้อมยาง 225/40R18 แบบ เป็นล้อแบบใช้อลูมิเนียมรีไซเคิลมาพร้อมกับชุดแต่ง Favoured Trim เพิ่มความโฉบเฉี่ยว ตอบรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกองค์ประกอบด้วยมิติตัวรถตั้งแต่

    • ความยาว 3,858 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 1,756 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,460 มิลลิเมตร
    • ระยะฐานล้อ 2,526 มิลลิเมตร
    • น้ำหนักรถ 1,540-1,605 กิโลกรัม

    ภายใน Interior

    MINIได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายและความยั่งยืนควบคู่กัน โดยแผงหน้าปัด แผงประตู และฝาปิดช่องเก็บของต่าง ๆ ภายในรถล้วนผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90% ส่วนเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตยังคงความหรูหราและนุ่มสบายเช่นเคยด้วย Vescin สีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของมินิที่นำมาใช้แทนหนัง ซึ่งเป็นการเลือกใช้วัสดุที่ทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังมีความสวยงามและคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ส่วนพื้นผิวหน้าแผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน ในขณะที่กล่องเก็บของที่บุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ พร้อมสายผ้าสำหรับใช้ช่วยเปิดที่เก็บของให้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น

    ครั้งแรกของวงการยานยนต์กับ MINI Interaction Unit จอแสดงผลทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า ซึ่งเป็นจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง นำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายในแบบฉบับที่ไม่ต่างจากการใช้สมาร์ทโฟน โดยส่วนบนของหน้าจอจะเป็นพื้นที่แสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น ความเร็วรถและสถานะแบตเตอรี่ ในขณะที่ส่วนที่เหลือของจอแสดงผลทรงกลมยังสามารถปรับเปลี่ยนให้แสดงข้อมูลการนำทาง เพลงและความบันเทิงอื่น ๆ รวมถึงฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อต่าง ๆ ได้อย่างครบครันและสะดวกง่ายดาย

    นอกจากนี้ ระบบ Head-up Display ก็ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลสำคัญของตัวรถได้โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนอีกด้วย

    MINIมาพร้อม MINI Experience ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ และเติมสีสันให้กับทุกเส้นทางได้ตามใจชอบ ด้วย 7 โหมดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นโหมดขับขี่ของตัวรถ เสียงจำลองที่ช่วยเสริมบรรยากาศการขับขี่ และสีสันจากหน้าจอรวมทั้งระบบไฟภายในห้องโดยสาร โดยในโหมดมาตรฐาน ‘Core Mode’ ห้องโดยสารจะได้รับการตกแต่งด้วยหน้าจอและไฟในโทนสี Laguna ที่เป็นหนึ่งในสีประจำตัว

    พร้อมการขับขี่โหมด Comfort และเสียงจำลองแบบมาตรฐานที่ทั้งผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกจะได้ยินไปด้วยกัน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่การขับขี่และคนเดินถนน ‘Go-Kart Mode’ จะเปลี่ยนชุดสีหน้าจอเป็นสีดำ Anthracite ผสมกับสีแดง และระบบไฟ ambient light สีแดง เติมความดุดันให้เข้ากับการขับขี่ในแบบสปอร์ตด้วยเสียงเครื่องยนต์จากรุ่น JCW ที่ปรับแต่งมาเพื่อสร้างความเร้าใจโดยเฉพาะ ส่วน ‘Green Mode’ จะตั้งค่ารถเป็นโหมดการขับขี่แบบมีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อเพิ่มระยะทางการขับขี่สูงสุด ขณะที่หน้าจอและระบบไฟส่องสว่างจะมาในสีเขียวนวลตา

    MINI

    นอกเหนือจาก 3 โหมดหลักนี้ MINI Interaction Unit ยังมาพร้อมกับบุคลิกและลูกเล่นที่โดดเด่นมากขึ้นในอีก 4 โหมด นับตั้งแต่ความสามารถในการซิงค์แสงไฟภายในกับภาพปกอัลบั้มของเพลงที่กำลังเล่นใน ‘Vivid Mode’ จากการใช้เทคโนโลยีลูกเล่นสี “Color Grabber” และการรองรับภาพพื้นหลังที่เลือกเองได้ใน ‘Personal Mode’ ไปจนถึงการสะท้อนภาพประวัติศาสตร์สุดคลาสสิกของมินิ ผ่านทั้งภาพและเสียงใน ‘Timeless Mode’ หรือบรรยากาศความเรียบง่าย สงบ สบายใน ‘Balance Mode’

    ด้านล่างของหน้าจอ MINI Interaction Unit ซึ่งติดตั้งอยู่บนคอนโซลด้านหน้า ผู้ขับจะได้พบกับแผงควบคุม Toggle Bar ดีไซน์ใหม่ อีกหนึ่งองค์ประกอบที่หวนคืนมาจากมินิรุ่นคลาสสิก โดย Toggle Bar ใหม่นี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ ในการขับขี่ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ทั้งเบรกมือ สวิตช์เลือกเกียร์ สวิตช์หมุนสตาร์ท/ดับเครื่อง สวิตช์สลับโหมด MINI Experience หรือปุ่มการควบคุมระดับเสียงเพลง พร้อมผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal ตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” หรือจะเลือกกดปุ่มสั่งการด้วยเสียงบนพวงมาลัยก็สะดวกไม่แพ้กัน

    ซึ่งนอกจากแค่การรับคำสั่ง MINI Intelligent Personal Assistant ยังสามารถปรากฏตัวทักทายคุณบนหน้าจอ MINI Interaction Unit ในรูปของรถ “MINI” ที่เป็นหน้าตาแบบมาตรฐาน หรืออาจเลือกอัปเกรดผ่านแพ็คเกจ MINI Connected ให้เป็นน้องหมา “Spike” ที่แฟน ๆ ต้องหลงรักก็ได้

    MINI

    เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยมือของทีมงาน BMW บนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายดายด้วยระบบสัมผัส แสดงผลด้วยภาพกราฟิกเคลื่อนไหวที่สวยงามในทุกหน้าจอ และทำงานร่วมกับฟังก์ชันอื่นๆได้หลากหลาย เช่น เชื่อมต่อกับแพ็คเกจ MINI Navigation ขณะขับขี่เพื่อช่วยนำทางด้วยระบบคลาวด์ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายแบบ 5G ในตัว และยังสามารถแสดงภาพสามมิติเพื่อช่วยนำทางผ่านจุดเลี้ยวที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจ ส่วน MINI Connected Store ยังมอบแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ครบครันทั้งแอปเพื่อการใช้งานและความบันเทิง รวมถึงเกม แอปสตรีมเพลงและวิดีโอ

    ส่วนฟีเจอร์กุญแจรถดิจิทัล MINI Digital Key Plus ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับ ด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอชให้เป็นกุญแจรถ ซึ่งสามารถเปิดใช้งาน Welcome Light ได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะ 3 เมตรจากตัวรถ และสามารถปลดล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อเดินเข้ามาในระยะ 1.5 เมตร รวมไปถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งพร้อมจะออกเดินทาง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อ Digital Key ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย

    สมรรถนะ Performance

    MINIยังคงเป็นขุมพลังไฟฟ้าล้วนครั้งนี้พัฒนาใหม่ให้แรงขึ้นวิ่งไกลขึ้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมแบเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 54.2 kWh ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตันเมตร เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ฉับไวใน 6.7 วินาที วิ่งไกลสุด 402 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 kW 0-100% ภายใน 5.15 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 kW โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10-80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที นอกจากนี้ แบตเตอรี่รุ่นนี้ยังรองรับการตั้งค่าการชาร์จต่าง ๆ เช่น เวลาชาร์จ ระดับแบตเตอรี่ที่ต้องการ และอื่น ๆ พร้อมการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่จากหน้าจอมือถือผ่าน MINI App

    นอกจากนี้ ตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในพื้นรถยังทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้รถมีความสามารถในการยึดเกาะและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ผสานกับช่วงล่างที่ปรับแต่งมาเพื่อการควบคุมที่คล่องตัว ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ฐานล้อที่ยาวขึ้นและขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน (Short overhang) ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น คงไว้ซึ่งสไตล์การขับขี่แบบโกคาร์ทไว้ได้อย่างครบถ้วน การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ

    ความปลอดภัย Safety ให้มาอย่างครบครันด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่

    MINI

    • ระบบช่วยจอด Parking assistant Plus
    • กล้องบันทึกหน้ารถ Drive Recorder
    • กล้องรอบคัน Surround View
    • เตือนก่อนการชนด้านหน้า Post-Crash Collision Warning (PC iBrake)
    • กระจายแรงเบรก Dynamic Brake Control (DBC)
    • ควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC)
    • ถุงลมนิรภัยรอบคัน
    • ฟังก์ชันจอดรถอัตโนมัติอย่าง Parking Assistant
    • แพ็คเกจ Driving Assistant ซึ่งสามารถเลือกอัปเกรดเป็น Driving Assistant Plus ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) โดยลูกค้าสามารถเลือกสมัครได้ในแบบ 1 เดือน 1 ปี 3 ปี และตลอดอายุการใช้งาน

    MINIMINI COOPER SE พร้อมให้นักขับชาวไทยเป็นเจ้าของได้แล้วที่ราคา 1,699,000 บาท พร้อมแพ็คเกจ MSI Standard โดยเป็นรถนำเข้าจากจีนผลิตที่โรงงาน  Spotlight Automotive ที่เมืองจางเจียกัง มณฑลเจียงซูร่วมทุกฝั่งละ 50:50 ทั้ง BMW และ GWM โดยมีสีภายนอกรถให้เลือกได้แก่

    • Blazing Blue
    • Nanuq White
    • Melting Silver ที่มาพร้อมกับหลังคาสีดำ Jetblack
    • British Racing Green, Sunny Side Yellow, Chili Red II ที่ให้ลูกค้าเลือกหลังคาดำ Jetblack หรือสีขาว Glazed White

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts