More

    MINI Countryman ประกอบไทยอีกครั้งในรอบ 7 ปี เริ่ม 2.599 ล้าน

    MINI Countryman เจนใหม่เปิดตัวพร้อมกับขึ้นสายการผลิตในไทยอีกครั้งหลังห่างหายไปครั้งนี้พร้อมส่งมอบยนตรกรรมเหนือระดับในราคาที่เข้าถึงได้

    MINIBMW Group ประเทศไทย ประกาศการกลับมาประกอบรถยนต์มินิ คันทรีแมน ที่โรงงานการผลิตอันทันสมัยในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นการกลับมาผลิตรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทยอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

    MINI

    การตัดสินใจครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย และภารกิจในการตอบสนองความต้องการรถยนต์ระดับพรีเมียมในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมพร้อมนำเสนอราคาที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้าในประเทศโดยได้พัฒนากระบวนการผลิตที่มีความยืดหยุ่นสามารถรองรับการผลิต MINI Countryman S ALL4 ทั้งรุ่น Classic และ Hightrim บนสายการผลิตเดียวกัน

    ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงสำหรับผู้บริโภค ส่งผลให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าชาวไทยที่มองหารถยนต์ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมคุณภาพมาตรฐานระดับโลก

    สำหรับ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เริ่มดำเนินสายการผลิตตั้งแต่ปี 2000 โดยมีพื้นที่การผลิตครอบคลุมมากกว่า 253,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 114 กิโลเมตร (70 ไมล์)

    ปัจจุบันสามารถประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นต่างๆทั้งหมด 18 รุ่น โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิมากกว่า 30,000 คันต่อปี และรถจักรยานยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สูงสุดที่ 15,000 คันต่อปี ส่งผลให้เป็นหนึ่งในโรงงานประกอบรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด

    MINIทั้งยังมีความพร้อมในด้านบุคลากรไทยที่มีทักษะสูงและมีความทุ่มเทในการทำงาน โดยยานยนต์จากทั้ง 3 แบรนด์ (บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด) ซึ่งเป็นโรงงานแห่งเดียวในเครือข่ายการผลิตทั่วโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีการผสมผสานกระบวนการผลิตในลักษณะนี้จึงมีมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของบีเอ็มดับเบิลยูในตลาดไทยและจะยิ่งมีศักยภาพเพิ่มขึ้นจากการนำ MINI Countryman กลับมาผลิตในประเทศในครั้งนี้

    MINI Countryman S ALL4

    สำหรับ MINI Countryman เจเนอเรชันที่ 3 มาในรุ่น MINI Countryman S ALL4 รหัส U25 มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัยและสเป็คระดับสูงที่ตอบรับกับทุกความต้องการของผู้ขับขี่ยานยนต์ในยุคปัจจุบัน ไล่ตั้งแต่ขุมพลังจากเครื่องยนต์อันทรงพลังไล่ไปจนถึงระบบอินโฟเทนเมนท์ชั้นนำของวงการต่างได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่จากยนตรกรรมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้

    โดดเด่นจากเรื่องโครงสร้างตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมินิทั้งหน้าสั้น ท้ายยาว ฐานล้อที่ยาวขึ้น และกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม เติมสีสันให้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าโดยในรุ่น Classic เลือกใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ Asteroid Spoke และรุ่น Hightrim มาพร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้วแบบทูโทน ดีไซน์ Kaleido Spoke มาทั้งไฟหน้า LED พร้อมระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติมาให้ เช่นเดียวกับฝาครอบกระจกข้างสีดำ และรางสำหรับขนสัมภาระบนหลังคารถ

    MINI Countryman S ALL4

    รุ่น Hightrim โดดเด่นกว่าด้วยบรรยากาศที่แตกต่างในห้องโดยสาร เปิดรับสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านหลังคากระจกแบบพาโนรามา ส่วนรุ่น Classic ก็ยังสวย สะดุดตาทั่วทั้งห้องโดยสาร ด้วยพวงมาลัยแบบสปอร์ต เบาะนั่งคนขับแบบ active seat เบาะหลังปรับได้ แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน และหน้าจอ OLED ทรงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจของการออกแบบห้องโดยสารในมินิเจนเนอเรชันนี้ ทั้งยังเป็นประตูสู่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมายจาก MINI Connected และจุดชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายอีกด้วย

    MINI Countryman S ALL4

    รุ่น Hightrim ยกระดับความหรูหราภายในไปอีกขั้น ด้วยเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตแบบ John Cooper Works เพดานห้องโดยสารมาดขรึมในสีดำ Anthracite และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon ส่วนวัสดุในรุ่น Classic เลือกหุ้มเบาะนั่งด้วยผ้าและหนังเทียม Vescin สีดำตัดน้ำเงิน และรุ่น Hightrim ใช้หนังเทียม Vescin ล้วนในโทนสีน้ำตาล Vintage Brown และดำ Dark Petrol

    MINI Countryman S ALL4

    ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี TwinPower Turbo ที่แฟน ๆ มินิรู้จักและคุ้นเคย ส่งกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิด 300 นิวตันเมตรลงสู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4  มอบสมรรถนะและความคล่องตัวระดับเดียวกัน ด้วยอัตราการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 7.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    MINI Countryman S ALL4

    มอบความมั่นใจบนทุกเส้นทางด้วยตัวช่วยครบครันสำหรับการขับขี่และเข้าจอด ทั้ง Dynamic Stability Control (DSC), Dynamic Brake Control (DBC), Park Distance Control (PDC) ระบบแจ้งเตือนการชนหลังเกิดอุบัติเหตุ และอื่นๆอีกมากมายในราคาเริ่มต้นที่ 2,599,000 บาท สำหรับรุ่น Classic และ 2,799,000 บาท สำหรับรุ่น Hightrim โดยมีมีให้เลือก 6 สีด้วยกัน ได้แก่

    • สีใหม่สีน้ำเงิน Slate Blue
    • สีเขียว Smokey Green
    • สีน้ำเงิน Blazing Blue
    • สีขาว Nanuq White
    • สีเงิน Melting Silver
    • สีแดง Chili Red II

     

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts