กลับมาอีกครั้งสำหรับ Mitsubishi Outlander PHEV Black Edition รุ่นพิเศษแต่งเข้มครั้งในนี้มาในร่าง MY2025 ที่ปรับหน้าตาปรับออปชันเล็กน้อย
Mitsubishi Outlander PHEV Black Edition หน้าตาเดิมปรับลุคเล็กน้อยให้ดูหรูสง่าขึ้นในร่างเอสยูวีเจเนอเรชันที่ 4 รหัส GM GN ZM จากพื้นฐานรุ่นท็อป “P Executive Package”
ตกแต่งโทนสีดำเงาทั้งคัน
ตั้งแต่ หลังคารถพร้อมราวหลังคา กระจกมองข้างทรงสปูน เสา A ไปจนถึงเสา C กระจังหน้าทรงเข้ม คิ้วกระจังหน้าทรง Dynamic Shield คิ้วชายล่างใต้กันชนหน้าและหลัง กรอบไฟตัดหมอกหน้า กรอบไฟหน้า สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ป้ายชื่อรถใช้โทนสีเข้ม และใช้สแตนเลสสีดำสำหรับขอบหน้าต่าง และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/45R20 จาก Bridgestone Alenza 001
หล่อทั้งคันเริ่มที่ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED เติมสีฟ้าในกรอบนอกปรับดีไซน์ชุดกระจังหน้าใหม่ในชุดคิ้วกระจังหน้าโครเมียมแบบ Dynamic Shield เสริมราศีให้ดูดีด้วยไฟหน้า Daytime LED ทรงเล็กรับกับกันชนหน้าแบบสปอร์ตเสริมคิ้วชายล่างสีเงินพร้อมไฟหรี่ไฟสูงไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED พร้อมฝากระโปรงหน้าออกแบบใหม่เปิดแค่เฉพาะฝาเท่านั้นจากเดิมจะเปิดทั้งฝาและตัวกระจังหน้าด้วยกันพร้อมที่ฉีดล้างไฟหน้ารถ
ด้านข้างทรงเดิมทั้ง กระจกมองข้างทรงสปูนที่เปิดประตูรถดึงก้านราวหลังคาพร้อมหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ ยาวจรดด้านท้ายกับแนวของโคมไฟหลัง LED แนวนอนเรียวเล็กออกแบบใหม่ที่ฉีดล้างไฟหน้ารถและไฟตัดหมอกหลัง LED เสา D ขนาดใหญ่

ภายในตกแต่งหรู
ด้วยเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ลายเพชรสีดำแบบ semi-aniline เดินด้ายสีเงิน และส่วนบนของแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูยังใช้การเย็บตะเข็บสีเงินเช่นกัน ทำให้ภายในดูประณีตและมีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น
ลำโพงจากค่าย YAMAHA 12 จุด มอบเสียงที่สมจริงถึง 4 รูปแบบ พร้อมเพิ่มขนาดหน้าจอสัมผัสใหม่ขนาด 12.3 นิ้วแทนขนาดเดิม 9 นิ้ว พร้อมระบบนำทางในจอที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สายมีระบบเบาะเย็น
ออปชันเดิมทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 4 ก้าน มาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ช่องแอร์แนวยาว กับเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิอิสระ 3 ส่วน ตกแต่งด้วยวัสดุอะลูมิเนียม และพร้อมจอแสดงข้อมูลเหนือคอนโซลหน้า full-color Head-Up Display (HUD) ขนาด 10.8 นิ้ว
ฟังก์ชันเชื่อมต่อ WIFI Internet in Car ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินไม่สะดุดกับวิดีโอออนไลน์ เพลง เกม ฯลฯ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรับส่งข้อมูล สามารถเลือกระยะเวลาการใช้งานได้ตามความต้องการพร้อมฟังก์ชันใหม่ในแอป My MITSUBISHI CONNECT” ตั้งค่าฟังก์ชัน “ล็อก/ปลดล็อกประตูจากระยะไกล” ช่วยให้ล็อกและปลดล็อกประตูได้โดยใช้แอปและช่องเสียบ HDMI
สามารถผลิตและจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 W ด้วยการเสียบปลั๊กเข้ากับช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในตัวรถเพื่อให้คุณได้สนุกสนานกับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่
สำหรับเบาะนั่งมาแบบ 3 ตอน 7 ที่นั่งหรือแบบ 2 ตอน 5 ที่นั่ง ตอน 2 พับได้แบบ 40:20:40 และตอน 3 พับได้แบบ 50:50 พร้อมพื้นที่สัมภาระด้านท้าย 258-284 ลิตร แต่พับเบาะตอนสามแล้วมีพื้นที่มากถึง 634-646 ลิตร และเมื่อพับแถวตอนสองกับแถวสาม มีพื้นที่มากถึง 1,373 -1,390 ลิตร
แรงและประหยัดด้วยเบนซิน MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4B12 ให้กำลังถึง 128 แรงม้าที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิด 195 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สูงถึง 116 แรงม้า แรงบิด 255 นิวตันเมตรในมอเตอร์ตัวหน้า S91 และ 136 แรงม้า แรงบิด 195 นิวตันเมตรในมอเตอร์ตัวหลัง YA1
เชื่อมต่อกับระบบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มความจุเป็น 22.7 kWh เดิมเป็น 20 kWh ให้กำลังรวมสูงสุด 380 แรงม้า แรงบิดรวม 645 นิวตันเมตร ถ้าวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า EV อย่างเดียว วิ่งได้ไกลจากเดิม 87 กิโลเมตรมาเป็น 106 กิโลเมตร (WLTC) ในรุ่น M และจาก 83 กิโลเมตรมาเป็น 102 กิโลเมตร (WLTC)
ชาร์จได้ทั้งชาร์จกระแสตรง DC พัฒนาใหม่ 30-80% ภายใน 32 นาทีและกระแสสลับ AC ประมาณ 7.5 ชั่วโมงติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super-All Wheel Control มีทั้งหมด 7 โหมด ตั้งแต่โหมด
- NORMAL
- ECO
- POWER
- TARMAC
- GRAVEL
- SNOW
- MUD
ระบบความปลอดภัยรอบคัน MI-PILOT Assist ทั้ง
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous emergency braking: AEB)
- ล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control: ACC) ชะลอความเร็วของรถให้เองโดยอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง (Stop&Go)
- สัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW)
- เตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver attention monitor: DAM)
- ช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ (Intelligent speed assist: ISA)
- ควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane Keep Assist: LKA)
- เตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA)
- อ่านป้ายจราจร (Traffic sign recognition system: TSR)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Centering: LC)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Traffic Jam Assist: TJA)
- เตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation system: FCM)
- สัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA)
- ปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB)
พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ไฟหน้าปรับระดับสูงต่ำ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Active Stability Control: ASC) ป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA) และควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control :HDC) เบรก ABS กระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ลดกำลังเครื่องยนต์ (BOS) เพื่อช่วยเบรก เสริมแรงเบรก (BA)
ไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน (ESS) ถุงลมนิรภัย 11 จุดรอบคัน (คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านนิรภัย/หัวเข่าใต้คนขับ/คั่นกลางเบาะหน้า) เซนเซอร์กะระยะการจอดหน้าและหลัง กล้องมองภาพรอบคัน MAM (Multi Around Monitor) พร้อมกล้องมองภาพด้านหลังและกระจกมองหลังอัจฉริยะ

รุ่นพิเศษนี้ขายญี่ปุ่น 2 รุ่นย่อยเริ่มต้น 6,735,300-6,826,600 YEN หรือราว 1,365,000-1,379,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้ามาขายจริงจะอยู่ที่ 2,915,000- 2,945,000 บาท ขายจริง 5 กุมภาพันธ์ 2026 มีด้วยกัน 5 สีทั้ง
- สีขาวมุกหลังคาดำ White Diamond/Black Mica
- สีเทาหลังคาดำ Graphite Gray Metallic/Black Mica
- สีแดงหลังคาดำ Red Diamond//Black Mica
- สีดำ Black Diamond
- สีเทา Graphite Gray Metallic
ที่มา Carwatch










