หลังจากเปิดขายเมื่อ 28 กันยายนที่ผ่านมา ONVO L60 เอสยูวีไฟฟ้ารุ่นแรกขของค่าย ONVO ในเครือ NIO จนประสบความสำเร็จมีกระแสตอบรับดีจากลูกค้าชาวจีน
ล่าสุดผ่านไป 3 เดือน ONVO L60 ส่งมอบไปแล้ว 20,000 คันและจะเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนที่ 3 ของการส่งมอบหลังจากเปิดตัว
คาดการณ์ว่าจะมีความสามารถในการส่งมอบรถ 20,000 คันต่อเดือนในเดือนมีนาคม 2025 เอสยูวีคันนี้มาในร่างไซซ์กลางท้าชน TESLA Model Y ด้วยการออกแบบให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.229 Cd ดีกว่าค่า 0.236 Cd ของ Tesla Model Y ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน
หล่อด้วยฝากระโปรงหน้ารถเล่นระดับดีไซน์แบ่งชัดเจนพร้อมไฟหน้า LED แยกทั้งไฟ DRL ส่วนบนรูปตัว L และไฟหน้าหลัก 2 ดวง พร้อมชุดกระจังหน้าทรงทึบและกันชนหน้ามีการดีไซน์ขอบกันชนเป็นเส้นรูปตัว C 2 ข้างช่องช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมคางหมูอยู่บริเวณด้านล่างของชุดกันชน
บนหลังคามีชุดเซนเซอร์โดดเด่นมากตรงด้านบนของหลังคารถ 2 มุมซ้าย-ขวาเป็นกล้องความละเอียดสูง แต่ไม่มีเทคโนโลยี LiDAR ส่วนกลางอีกต่อไปพร้อมหลังคาพาโนรามิกขนาดใหญ่ พร้อมกล้อง 2 ตัวติดตั้งที่ขอบบังโคลนหน้า กระจกมองข้างดีไซน์เอกลักษณ์แบบไร้กรอบ ดีไซน์ที่จับประตูแบบ Hidden Capacitive Sensing Door Handles เรียบสนิทกลมกลืนกับตัวรถ
ด้านท้ายมีไฟท้าย LED แยกกัน 2 ฝั่งคั่นกลางด้วยโลโก้ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่สง่างาม โดยสิ่งเดียวที่แตกต่างจากรูปลักษณ์นี้ก็คือส่วนท้ายรถที่ยื่นออกมาค่อนข้างชัดเจน ส่วนแผ่นกันกระแทกที่อยู่รอบ ๆ ด้านล่างของรถ ซึ่งอาจจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากด้านหลังและล้ออัลลอยมาในขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 245/50R19 และขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 255/45 R20 โดยมีขนาดมิติตัวถัง
- ความยาว 4,828 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,930 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,616 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มิลลิเมตร
งานดีไซน์ภายในดูเหมือนว่าจะใช้แนวทางของ Tesla Model Y ในการออกแบบมีเพียงหน้าจอเดียวที่ด้านหน้า และไม่เหมือนกับรถ NIO รุ่นอื่นๆ ตรงที่หน้าจออินโฟเทนเมนต์จะติดตั้งในแนวนอนเป็นหน้าจอความชัดระดับ 3K ที่มีอัตราส่วนในจอ 16:10 และขอบจอบางเฉียบเพียง 5.35 มิลิลิเมตร ขนาด 17.2 นิ้ว นอกจากนี้ เพื่อเปลี่ยนจากสไตล์ของ NIO ปุ่มควบคุมการขับขี่จึงถูกย้ายจากคอนโซลกลางไปที่ก้านพวงมาลัยแบบเดียวกับในรถ Tesla มีจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนคอนโซลหน้า HUD head-up display ขนาด 13 นิ้ว
คอนโซลกลางมีแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือสำหรับ 2 จุด พร้อมช่องเก็บของอีกช่องหนึ่งอยู่ด้านหน้าโดยตรง ด้านหลังมีที่วางแก้ว 2 ช่องพร้อมช่องเก็บของแบบแยกช่อง มาพร้อมลำโพง 18 จุด กำลังขับ 1,020W พร้อม Dolby Atmos แน่นอนว่ารถยังมีฟังก์ชันคาราโอเกะอีกด้วย ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295P ซึ่งให้พลังประมวลผล AI 60 TOPS และรถยังมีพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB
ผู้โดยสารด้านหลังจะได้รับหน้าจอขนาด 8 นิ้วที่ติดตั้งไว้ที่ด้านหลังคอนโซลกลางเพื่อความบันเทิง สามารถปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารผ่านแอพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนจาก 0–20 องศาในเวลาเพียง 30 วินาที ยังมีระบบกรองอากาศหลายชั้นที่สามารถทำงานกับก๊าซคาร์บอนและแบคทีเรียรวมถึง PM 2.5 หลังคาพาโนรามิคขนาด 1.9 ตารางเมตรสามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ 99.99% แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือตู้เย็น Midea ขนาด 52 ลิตรใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ สามารถแช่เย็นเครื่องดื่ม อาหารสดได้
วัสดุที่ใช้ทำเบาะนั่งได้รับการพัฒนาด้วยการใช้วัสดุ Caretech เป็นมิตรต่อผิวหนังไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และป้องกันแบคทีเรีย ผ่านการรับรอง OEKO-TEX 100 ระดับ 1 สำหรับแม่และเด็ก นอกจากนี้ เบาะนั่งยังมีโครงสร้างคอมโพสิตตามหลักสรีรศาสตร์ 10 ชั้น และใช้พื้นผิวคอมโพสิตหนา 15 มิลลิเมตร ช่วยหลีกเลี่ยงความเมื่อยล้าในระหว่างการเดินทางไกลได้
เบาะนั่งคู่ด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง ด้านหลังของเบาะนั่งด้านหน้าสามารถพับลงเพื่อให้มีพื้นผิวเรียบต่อเนื่องกับที่รองต้นขา มีระบบอุ่นเบาะ และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้ามีที่รองน่องที่เคลื่อนย้ายได้ยาวเป็นพิเศษซึ่งยังทำความร้อนได้อีกด้วยพื้นที่ท้ายรถมีพื้นที่เพียงพอสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้ว 2 ใบ กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้ว 2 ใบ และกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว 1 ใบ ซึ่งเพียงพอสำหรับครอบครัว 5 คน ภายในให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวอ่อน, สีดำ, สีน้ำตาล, และสีม่วงไลแลค
ขุมพลังแน่นอนว่าเป็นไฟฟ้าล้วนรุ่นความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไออนขนาด 60 kWh แบบ FinDreams LFP จาก BYD และความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไออนขนาด 85 kWh แบบ NMC จาก CALB มีกัน 2 รุ่นย่อยเริ่มที่
รุ่น RWD ทั้ง Standard Range, Long Range เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวรุ่น TZ188S001 ขับเคลื่อนล้อหลังสร้างแรงม้าสูงสุด 326 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 305 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.9 วินาทีการชาร์จ DC 10-80% ภายใน 25 นาทีและชาร์จ AC ได้ ให้ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งไกลสุด 555 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 535 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น Standard Range 60 RWD และรุ่น Long Range 85 RWD วิ่งไกลสุด 730 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 704 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC
รุ่น AWD ทั้ง Standard Range, Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อแรงม้าสูงสุด 326 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 305 นิวตันเมตรสำหรับล้อหลังส่วนมอเตอร์ล้อหน้า YS198S001 ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 462 แรงม้า แรงยิด 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.6 วินาทีการชาร์จ DC 10-80% ภายใน 20 นาทีและชาร์จ AC ได้ ให้ความเร็วสูงสุด 203 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งไกลสุด 525 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 506 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น Standard Range 60 AWD และวิ่งไกลสุด 700 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC หรือ 675 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ในรุ่น Long Range 85 AWD
ซอฟต์แวร์ขับขี่อัจฉริยะเวอร์ชันใหม่กว่า NIO อัปเดตผ่าน OTA ใช้ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยภาพ ด้วยระบบขับขี่อัจฉริยะที่เรียกว่า OSD (O์NVO Smart Driving) ในส่วนของ NOA สามารถทำงานได้บนถนน 99.9% มีวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าระบบนี้ทำงานบนสภาพถนนต่างๆรวมถึงในเมืองและหลีกเลี่ยงรถที่หยุดกะทันหัน นอกจากนี้ ยังรองรับระบบจอดรถแบบไร้คนขับ
โดยระบบ OSD มาจากชิป Nvidia Orin X ตัวเดียวที่มี 254 TOPS เซนเซอร์ประกอบด้วยกล้อง HD 8MP จำนวน 7 ตัวที่มีระยะตรวจจับด้านหน้าสูงสุด 687 เมตร นอกจากนี้ยังมีเรดาร์คลื่นมิลลิเมตรสร้างภาพ 4 มิติที่มีระยะตรวจจับสูงสุด 370 เมตร พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ทั้ง
- เตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอยหลัง R-AEB (Rear Autonomous Emergency Braking)
- ช่วยเตือนจุดอับสายตา BSD (Blind Spot Monitoring)
- ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
- เตือนเมื่อออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ระบบ R-GOA (Rear General Obstacle Warning and Assistance)
- อ่านป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Recognition)
- อ่านสัญาณไฟจราจร TLD (Traffic Light Recognition)
- ช่วยตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitoring System)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
พร้อมความปลอดภัยทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution), เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว EPS ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้างหน้า ม่านถุงลมนิรภัย และรวมถุงลมนิรภัยคั่นระหว่างกลางเบาะนั่งคู่หน้ารวม 7 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง
ONVO L60 ขายจีน 4 รุ่นย่อยเริ่มต้น 206,900-255,900 YUAN หรือราว 969,000-1,199,000 บาท เป็นราคาขายพร้อมชุดแบต ส่วนราคารถพร้อมเช่าแบตรายเดือนเริ่ม 149,900 YUAN หรือราว 705,000 บาท โดยจะอัปเดตระบบ OTA ครั้งที่ 3 ตั้งแต่ 28 ธันวาคมเพิ่ม 24 พังก์ชันใหม่และปรับปรุงฟังก์ชันปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากถึง 22 ฟังก์ชัน
นอกจากซื้อรถพร้อมแบตแล้ว ยังมีบริการเช่าแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนเป็นรายเดือน battery-as-a-service โดยค่าเช่าแบตชุด 60 kWh อยู่ที่ 599 YUAN หรือประมาณ 2,800 บาทต่อเดือน และชุด 85 kWh อยู่ที่ 899 YUAN หรือประมาณ 4,300 บาทต่อเดือนและสามารถใช้บริการร่วมกับแบรนด์ NIO ได้ปัจจุบันมีสถานีกว่า 1,000 แห่ง และจะครอบคลุมสถานีที่รองรับได้ 2,500 แห่งทั่วจีนภายในสิ้นปี 2025 พร้อมสีภายนอก 7 สีทั้ง
- สีส้ม Dawn Orange
- สีน้ำเงิน Coastal Blue
- สีดำ Starry Black
- สีบอรนซ์เงิน Polar Silver
- สีขาว Snow Peak White
- สีเขียว Distant Green Mountain
- สีชมพูอ่อน Cloud Purple
ที่มา CarNewsChina