หลังจากทำตลาดที่อเมริกาด้วยพลังสูบนอนไร้ถ่านสำหรับ Subaru Forester เจนใหม่ล่าสุดเพิ่มทางเลือกด้วยขุมพลังฟูลไฮบริดกับ Subaru Forester Hybrid
Subaru Forester Hybrid เจเนอเรชันที่ 6 ในรหัส SL หน้าตาของเจนนี้ไม่ต่างจากเจนที่แล้วมากเท่าไหร่เริ่มที่
กระจังหน้าทรงห้าเหลี่ยมพร้อมตราดาวลูกไก่ขนาดใหญ่เส้นแนวนอนลากยาวไปถึงไฟหน้า LED ทรงขอบมีปีก พร้อมไฟ Daytime แบบ LED horizontal อยู่บนโคมไฟ รับกับกันชนหน้าทรงสปอร์ต พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED ทรงสามเหลี่ยม ด้านข้างยังคล้ายกับเจนที่ 5 ตั้งแต่กระจกมองข้างทรงสปูน ราวหลังคาแบบบิ๊วอิน เสาอากาศครีบฉลามและหลังคาซันรูฟ
ด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED สอดรับกับคิ้วป้ายกรอบป้ายทะเบียนส่วนบนแบบแนวยาว และฝาท้ายไฟฟ้าเปิดปิดด้วยเท้า Hands-Free Power Rear Gate
ล้ออัลลอยลายเข้มขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางซีรีส์แก้มเตี้ย 245/45R19 และแก้มสูง 235/55R19 ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 225/55R18 กับขนาด 245/50R18 และลายเข้ม 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/60 R17 รับกับซุ้มล้อทรงเหลี่ยม พร้อมคิ้วชายล่างสีดำ และตรา Hybrid อยู่ด้านข้างบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา และฝาท้ายด้วยตัวรถยังคงใช้แพลตฟอร์ม Subaru Global Platform ใหญ่ทั้งคันตั้งแต่
- ความยาว 4,656 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,829 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,730 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 221 มิลลิเมตร
- ความจุถังน้ำมัน 63 ลิตร
ภายในมีความคล้ายกับ Subaru Levorg หรือ Subaru WRX Wagon ทั้งจอสัมผัสแนวตั้งขนาด 7 กับ 11.6 นิ้วแบบ tablet-style infotainment display พร้อมระบบนำทาง รองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
ระบบเสียงรอบคัน 6 กับ 10 ลำโพง จากแบรนด์คุณภาพ Harman Kardon มาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว มีช่องเสียบ USB ทั้ง Type-A และ Type -C ชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกทำจากอะลูมิเนียม เบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold และที่ชาร์จมือถือไร้สาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง 3 ก้าน
เบาะนั่งหุ้มกึ่งหนังแท้ เบาะหลังสามารถพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขนของแบบ 40:20:40 พร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายขนาด 838 ลิตรกรณีไม่พับเบาะและพับเบาะมีพื้นที่มากขึ้นถึง 2,107 ลิตร
ขุมพลังใหม่สูบนอน Boxer Hybrid ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่เข้าไว้ด้วยกันจึงเป็นที่มาของขุมพลังอีกขั้นในตระกูล e-Boxer ฟูลไฮบริดแบบ S:HEV หรือ Strong Hybrid ด้วยเบนซินรหัส FB25DI พร้อมฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงตรง Direct Injection สร้างกำลังสูง 164 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 209 นิวตันเมตรที่ 4,000-4,400 รอบต่อนาทีในภาคเครื่องยนต์
พร้อมระบบทรานแอกเซิลที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรกทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์และมอเตอร์ตัวที่สองเป็นมอเตอร์ขับเคลื่อนแบบ AC “MC2″120 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร ร่วมกับแบตเตอรี่ Lithium Ion มีความจุ 1.1 kWh
เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้าสูงสุด 197 แรงม้า วิ่งไกล 935 กิโลเมตรด้วยน้ำมัน 1 ถัง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT 8 สปีด มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบสมมาตรตลอดเวลา Symmetrical all-wheel drive เสริมระบบ X-MODE ช่วยในส่งถ่ายกำลังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับระบบ Hybrid (S:HEV หรือ Strong Hybrid-Full Hybrid) โดยชุดแบตเตอรี่ไฮบริดติดตั้งที่ด้านท้ายของตัวรถส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวโดยตัวแรกจะอยู่ที่ท้ายเครื่องยนต์อาจเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ Fly Wheel ส่วนตัวที่ 2 อยู่ในชุดเกียร์ และสามารถขับเคลื่อน 4 ล้อได้ในโหมดขับขี่ EV
การทำงานจะทำงานแบบ Series Parallel Hybrid ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในช่วงความเร็วต่ำด้านเครื่องยนต์จะติดเพื่อชาร์จไฟ ติดเพื่อขับเคลื่อนในความเร็วกลางถึงสูงช่วงเดินทางและมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำงานเสริมร่วมกับเครื่องยนต์สร้างอัตราเร่งที่ทันใจ ด้วยการมาของขุมพลังนี้น้ำหนักรถเพิ่มจากเดิม 136 กิโลกรัม โดยน้ำหนักรถคันนี้ไม่ถึง 1,814 กิโลกรัม
พร้อมระบบกระจายแรงบิด (Active torque vectoring) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมยานพาหนะได้อย่างมั่นใจ และเร้าใจขึ้นด้วยโหมดการขับขี่ SI-Drive ทั้งโหมด Intelligent และ Sport ระบบความปลอดภัย EyeSight Safety ไม่ว่าจะเป็น
Autonomous Emergency Steering ระบบบังคับพวงมาลัยฉุกเฉินอัตโนมัติ ช่วยหักหลบจากรถหรือวัตถุที่อยู่ด้านหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการชน (ระบบทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) Adaptive Cruise Control (ACC) with Lane Centering Function ไปและหยุดตามคันหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบควบคุมรถให้อยู่กลางเลน ช่วยรักษาทิศทางของรถ
Lane Departure Warning include Lane Departure Prevention เตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อมระบบบังคับรถกลับเข้าเลน หากระบบตรวจจับว่ารถกำลังคร่อมเส้นแบ่งเลน จะดึงพวงมาลัยนำรถกลับเข้ากลางเลนโดยอัตโนมัติ (ระบบทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป) Pre-Collision Braking ช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับ Adaptive Cruise Control พัฒนาให้ล้ำหน้าขึ้นอีกขั้น ช่วยปกป้องความปลอดภัยได้ในสถานการณ์การขับขี่
Subaru Rear Vehicle Detection (SRVD) ตรวจจับวัตถุด้านหลัง เรดาร์เซนเซอร์จะตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหลังรถ และส่งสัญญาณเตือนผู้ขับหากจะเปลี่ยนเลนบนถนนหรือถอยหลังในที่จอดรถ High Beam Assist (HBA) ไฟหน้าอัจฉริยะปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ เป็นฟังก์ชันใหม่ที่ให้มาเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ปลอดภัย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
Subaru Forester Hybrid เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกามีให้เลือกทั้งรุ่น Premium, รุ่น Sport รุ่น Limited และรุ่น Touring เตรียมโชว์ตัวที่งาน Chicago Auto Show 2025 ระหว่างวันที่ 8-17 กุมภาพันธ์ และเปิดขายจริงต้นปีนี้ (ฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ในราคาเริ่มต้น $36,415 หรือราว 1,235,000 บาท พร้อมสีใหม่เฉพาะรุ่น Daybreak Blue Pearl ส่วนเมืองไทยเข้าขายแน่นอนโดย CBU จากญี่ปุ่น
ที่มา Motor 1