จากเหตุการณ์ที่ Suzuki ญี่ปุ่นตัดสินใจหยุดการผลิต Suzuki SWIFT ท้ายตัดเจเนอเรชันที่ 4 ไปในวันที่ 2-6 มิถุนายนที่ผ่านมาเหตุขาดแคลนชิ้นส่วน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ทาง Suzuki ประกาศว่าเตรียมกลับมาผลิต Suzuki SWIFT เจนใหม่อีกครั้งหลังหยุดไลน์ผลิต 5 วัน โดยจะกลับมาผลิตบางส่วนในวันที่ 13 มิถุนายนและกลับมาผลิตเต็มรูปแบบในวันที่ 16 มิถุนายนเป็นต้นไปที่โรงงานที่เมือง SAGARA ญี่ปุ่น
หน้าตาไม่ต่างจากเจนที่แล้วเท่กว่าใหญ่โตเด่นด้วยที่เปิดประตูแบบก้านโยกสี่จุดเป็นครั้งแรกที่ก้านเปิดประตูคู่หลังออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งแบบเดียวกับรถทั่วไป มาในชื่อรหัส YED ยังใช้แพลตฟอร์ม HEARTECT เช่นเคย มิติตัวรถใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับ Swift เจนที่สี่พบว่ายาวขึ้นกว่าเจนที่แล้ว 15 มิลลิเมตร สูงกว่า 5 มิลลิเมตร ความกว้างแคบกว่าเจนที่แล้ว 40 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเท่าเดิม และน้ำหนักรถเบากว่า 1.9 กิโลกรัม
ภายในงานออกแบบคอนโซลหน้าด้วยโทนสีขาวดำตั้งแต่มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูล MID จอสัมผัสขนาดใหญ่แบบลอยตัวขนาด 9 นิ้ว SmartPlay Pro เชื่อมต่อ Android Auto รูปแบบใหม่ Apple CarPlay พร้อมสั่งงานด้วยเสียงกับคำว่า ‘Hi Suzuki’ และ OTA (Over-The-Air Updates) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงคุ้นตาแบบท้ายตัด
เบาะนั่งสปอร์ต 5 ที่นั่งออกแบบใหม่ให้นั่งสบายมากขึ้นพร้อมเบาะนั่งหลังพับได้แบบ 60/40 หุ้มด้วยผ้าสีดำเข้มเดินด้านสวยงาม และ Suzuki Connect เชื่อมต่อข้อมูลตัวรถ สถานะการจอดรถระยะไกลระยะใกล้ผ่านทางสมาร์ตโฟนสบายขึ้นด้วยเบรกมือไฟฟ้า Electric parking brake (EPB) พร้อม Auto Hold แทนแบบเดิมที่เป็นคันโยก
ขุมพลังใหม่หมดด้วยเบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร รหัสใหม่ Z12E ให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิด 108 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที มีมีเวอร์ชัน Mild Hybrid พ่วงแบตเตอรี่ก้อนเล็กสุด Lithium lon 6Ah 12V จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก Integrated Starter Generator (ISG) ช่วยเสริมกำลังทั้งแรงและเร้าใจแบบ SVHS (Suzuki Hybrid Vehicle System) กำลังสูง 3.1 แรงม้าที่ 1,100 รอบต่อนาที แรงบิด 60 นิวตันเมตรที่ 100 รอบต่อนาที
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ลูกใหม่ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด เลือกได้ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-Time 4WD ประหยัดสุด 22-25.4 กิโลเมตรต่อลิตรตามมาตรฐาน WLTC พร้อมความปลอดภัยเต็มคัน Suzuki Safety Support
Suzuki Swift มีทั้งหมดเจ็ดรุ่นย่อยสามเกรดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น XG, Hybrid MX และรุ่นท็อป Hybrid MZ มีทั้งหมด 13 สีแบ่งเป็นสีโมโนโทน 9 สีได้แก่ สีน้ำเงิน Frontier Blue Pearl Metallic, สีเหลือง Cool Yellow Metallic, สีแดง Burning Red Pearl Metallic, สีส้ม Flame Orange Peral Metallic, สีครีม Caravan Ivory Peral Metallic, สีขาวมุก Pure White Peral, สีเทา Premium Sliver Metallic Star, สีบรอนซ์เงิน Sliver Metallic และสีดำ Super Black Peral
ทางเลือกใหม่ตรงใจวัยรุ่นกับสีทูโทนหลังคาดำอีก 4 สีทั้งสีน้ำเงิน Frontier Blue Pearl Metallic สีเหลือง Cool Yellow Metallic สีแดง Burning Red Pearl Metallic และสีขาวมุก Pure White Peral โดยเปิดราคาในรุ่นเกียร์ CVT เริ่ม 1,727,000-2,332,000 Yen หรือราว 415,000-559,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยแต่ถ้าขายไทยราคารวมภาษี 779,000-1,049,000 บาท
รุ่นเกียร์ธรรมดาเริ่ม 1,922,800 Yen หรือราว 464,000 บาท เป็นราคาไม่รวมภาษีนำเข้าแต่ถ้านำเข้ามาขายราคารวมภาษีอยู่ที่ 874,000 บาท
ที่มา Carwatch