เรียกว่าเป็นการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 5 ปีของการแนะนำตัวสู่สายตาชาวโลกสำหรับ TESLA Model Y รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์และเปิดตัวที่ไทยด้วยเช่นกัน
TESLA Model Y ไมเนอร์เชนจ์ปรับโฉมหล่อเอสยูวีสปอร์ตคอมแพ็คพรีเมียมสานต่อความสำเร็จด้วยความนิยมและเชื่อมั่นมาตลอด 5 ปี
ด้วยหน้าตาใหม่ไร้กระจังหน้ามาพร้อมแถบไฟ DRL แบบ LED คาดยาวทั้งแผงครั้งนี้ไม่มีตรา TESLA ติดขอบฝากระโปรงแล้ว พร้อมไฟหน้า Full LED แยกส่วนดีไซน์เลข 7 วางตำแหน่งขอบกันชนหน้าซ้าย-ขวาในชุดกันชนหน้าออกแบบเป็นชิ้นเดียวพร้อมช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมคางหมูใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นกว่าเดิม
ด้านข้างเส้นสายเรียบง่ายและหรูหรา หลังคาท้ายลาดในสไตล์รถ Fastback มือเปิดประตูเป็นแบบราบเรียบเนียนกับตัวถังรถ กระจกมองขางทรงเท่ ไฟท้าย LED ใหม่ออกแบบคาดยาวตลอดแบบ Halo Taillight และสปอยเลอร์ดีไซน์หนึ่งเดียวกับฝาท้ายพร้อมเปิดแบบไร้สัมผัส เปิดอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เข้าใกล้ ล้ออัลลอยให้เลือกทั้งขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 255/45R19 และขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/40R20 ในรุ่น Long Range AWD เป็นออปชันเสริม นำพื้นฐานของ TESLA Model 3 มาขยายตัวรถให้ใหญ่ขึ้น ลุยมั่นใจขึ้นตั้งแต่
- ความยาว 4,790 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,982 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,624 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,891 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 167 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถรุ่น Standard Range RWD 1,921 กิโลกรัม รุ่น Long Range AWD 1,992 กิโลกรัม
ภายในใหม่หมดยกมาจาก Model 3 รุ่นปรับโฉมมาพร้อมกับตัวเลือกการตกแต่งห้องโดยสารภายในด้วยสีขาวดำและสีดำล้วน เพิ่มสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และสร้างบรรยากาศแบบโลกของการขับขี่แห่งอนาคตแต่ยังเรียบง่ายแต่หรูด้วยเบาะนั่งใหม่แบบ Anti-Gravity ต้านแรงโน้มถ่วงปรับเอนด้วยไฟฟ้าทุกที่นั่งสัมผัสนุ่ม หุ้มเบาะนั่งแบบหนังแท้แบบเจาะรูพร้อมเป่าอุ่นเบาะและมีเบาะเย็นในตัว โดยมีพื้นที่เก็บสัมภาระ 2,138 ลิตร แผงประตูดีไซน์ใหม่
ชุดแผงคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่เรียบง่ายกว่าเดิมพร้อมชุดแต่งแผงคอนโซลหน้านแนวนอน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านใหม่ติดตราโลโก้ตัวอักษร TESLA แทนโลโก้ตัวทีควบคุมแบบ Joy Stick 2 ปุ่มช่วยลดความยุ่งยากในการขับขี่ ผู้ขับขี่สามารถคลิกเพียงครั้งเดียวเพื่อเข้าถึงฟังก์ชันสำคัญต่างๆ เช่น สัญญาณไฟเลี้ยวและไฟสูง นอกจากนี้ ตัวควบคุมทางฝั่งด้านซ้ายยังสามารถปรับโหมดการเร่งความเร็ว ความสว่างหน้าจอ และการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย เพิ่มก้านไฟเลี้ยวที่คอพวงมาลับ
โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสกลางขนาดใหญ่ขึ้น 15.4 นิ้วจากเดิม 15 นิ้วที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของตัวรถทั้งคันไว้ในจอเดียวเป็นทั้งระบบความบันเทิง การนำทาง และเครื่องปรับอากาศ รองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติ Over-the-air ผ่านทางดาวเทียมจะคอยอัปเกรดฟังก์ชันคุณสมบัติ การทำงานต่างๆ และประสิทธิภาพใหม่ตลอดเวลา เพิ่มจอหลังขนาด 8 นิ้วรองรับความสบายของผู้โดยสารตอนหลัง
เพิ่มไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร หรือ Ambient Light เพิ่มกระจกเป็นแบบลดเสียงรบกวน Acoustic Glass หนา 2 ชั้น เงียบขึ้นตลอดการเดินทาง พร้อมลำโพงคุณภาพเพิ่มาเป็น 19 จุดรวมซับวูฟเฟอร์ 2 จุด และแอมพลิฟายเออร์คู่ เพื่อไดนามิกของเสียงภายในที่เทียบได้กับสตูดิโอบันทึกเสียงแท่นชาร์จมือถือไร้สาย หลังคาแก้วแบบพาโนรามิกที่กว้างช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะป้องกันรังสียูวี แป้นเหยียบแบบอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความลงตัว
สเปกที่ขายไทยมีด้วยกันสองแบบพัฒนาใหม่เพิ่มเรี่ยวแรงมากขึ้นวิ่งไกลมากขึ้นทุกขนาดความแรงจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 1-speed fixed gearตั้งแต่รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง Standard Range ให้กำลัง 347 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร พร้อมความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion แบบ LFP 57.5 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 466 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 548 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC
การเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านการชาร์จมีสองแบบชาร์จแบบ DC กระแสตรง รองรับการชาร์จสูงสุด 175 kW ได้นานถึง 15 นาที เพิ่มระยะทางวิ่งได้สูงสุด 229 กิโลเมตร ส่วนชาร์จแบบกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 11 kW 6.15 ชั่วโมง
ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ AWD รุ่น Long Range AWD ให้กำลัง 514 แรงม้า แรงบิด 493 นิวตันเมตร พร้อมความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion แบบ NMC 75 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 551 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP หรือ 648 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC
การเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านการชาร์จมีสองแบบชาร์จแบบ DC กระแสตรงรองรับการชาร์จสูงสุด 250 kW ได้นานถึง 15 นาที เพิ่มระยะทางวิ่งได้สูงสุด 266 กิโลเมตร ส่วนชาร์จแบบกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 11 kW 8.15 ชั่วโมง
มาพร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ช่วงล่างหน้าแบบ Double Wishbone ช่วงล่างหลังแบบ Multi-Link พร้อมล้อและยางปรับปรุงใหม่เพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่ด้านความปลอดภัยเพิ่มเตือนมุมอับสายตา Bind Spot ในกระจกมองข้างและแสดงภาพบนหน้าจอ
มีทั้งโครงสร้างโลหะเป็นการผสมผสานระหว่างอะลูมิเนียมและเหล็กเพื่อความแข็งแรงสูงสุดในทุกพื้นที่ ติดตั้ง*ระบบช่วยขับอัตโนมัติ (Autopilot) ช่วยให้รถของคุณสามารถบังคับทิศทาง เร่งความเร็ว และเบรกได้โดยอัตโนมัติภายในช่องทางเดินรถ ส่วน Autopilot แบบยกระดับ (EAP) และ *Full Self-Driving (ความสามารถในการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ)
มีฟีเจอร์เพิ่มเติมมาให้ใช้งาน และฟังก์ชันการทำงานที่มีอยู่ เพื่อให้รถของคุณมีความสามารถมากขึ้นเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งต่อไปนี้ทั้งการนำทางแบบ Autopilot การเรียกรถอัตโนมัติแบบ Summon จอดรถอัตโนมัติ และเปลี่ยนช่องจราจรโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้มีการแนะนำรุ่นพิเศษ Launch Series เพิ่มออปชันให้ต่างจากเดิมทั้ง กาบบันไดเรืองแสงพร้อมคำว่า Launch ไฟต้อนรับบริเวณกระจกมองข้าง โลโก้ Launch บริเวณที่ชาร์จมือถือไร้สาย อัพเกรดภายในเป็นสีขาวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพิ่ม Acceleration Boost ในรุ่น Long Range AWD และโลโก้พิเศษบริเวณฝาท้ายด้วยคำว่า Launch Series
TESLA Model Y นำเข้าจากประเทศจีน มีการรับประกันจากโรงงานดังนี้รับประกันในส่วนรถยนต์พื้นฐาน 4 ปี หรือ 80,000 กิโลเมตรแล้วแต่ว่าสิ่งใดจะถึงก่อน รับประกันแบตเตอรี่กับชุดขับเคลื่อน 8 ปี หรือ 192,000 กิโลเมตรแล้วแต่ว่าสิ่งใดจะถึงก่อนจำหน่าย 2 รุ่น กำหนดการส่งมอบประมาณเดือนพฤษภาคม
พร้อมสีใหม่ สีน้ำเงิน Glacier Blue ส่วนสีสีขาวมุก Pearl White สีเทา Stealth Grey สีบอรนซ์เงิน Quick Silver สีแดง Ultra Red เลือกสีฟรีไม่เสียเงินเพิ่ม ตัดสีดำ ในราคาดังนี้
- Model Y Long Range AWD ราคา 2,069,000 บาท
- Model Y RWD ราคา 1,769,000 บาท
*เป็นออปชันเสริมเสียเงินเพิ่ม