หลังจากที่ไทยประเดิมปรับโฉมตั้งแต่ปีกลายและทยอยปรับในหลายประเทศล่าสุดที่ยุโรปปรับโฉมคล้ายไทยสำหรับ Toyota Corolla Cross
พร้อมกันนี้ยังมีการแนะนำรุ่น GR Sport ตกแต่งต่างจากไทยเป็นอย่างมากส่วนรุ่น High Grade ตกแต่งคล้ายไทย สำหรับ Toyota Corolla Cross ไมเนอร์เชนจ์
เริ่มที่รุ่น GR Sport หน้าตาใหม่ผสมผสานความเป็น Toyota GR Corolla และรถไฟฟ้าตระกูล bZ Series เข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่ไฟหน้าโคมใหม่ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights LED แบบ Light Guiding มีไฟเลี้ยววิ่งแบบ Sequential บนขอบไฟหน้า
รับกับกระจังหน้าแบบ Hammerhead กริตเตอร์ขอบใหญ่ทึบสีดำดีไซน์เอกลักษณ์สีเดียวกับตัวรถพร้อมตราโลโก้สามห่วง กันชนหน้าถอดแบบมาตจากรุ่น GR Corolla ออกแบบช่องระบายอากาศดีไซน์ใหม่ให้กรอบด้านข้างซ้าย-ขวาช่องใหญ่ขึ้นเป็นแนวตั้งถึงสองช่อง ช่องระบายอากาศส่วนกลางบนและล่างออกแบบหลอมรวมกับกรอบด้านข้างให้เป็นหนึ่งเดียว
หลังคารถและกระจกมองข้างทรงสปูนตกแต่งสีดำ ไฟท้าย LED รูปตัว C โคมใหม่ดูดุดันขึ้นและล้ออัลลอยลายทูโทนใหม่ ขนาด 19 นิ้ว พร้อมสีทูโทนเทาดำ Storm Grey
ทางด้านรุ่น High Grade ปรับตามไทยเช่นตั้งแต่ไฟหน้าแบบ LED ใหม่พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights LED แบบ Light Guiding พร้อมไฟเลี้ยววิ่งแบบ Sequential บนขอบไฟหน้า
กระจังหน้าตัวเด่นมีช่องระบายอากาศดีไซน์รังผึ้งพร้อมโลโก้สามห่วง สีเดียวกับตัวรถ พร้อมการตกแต่งกระจังหน้าแบบผสมกับสีตัวรถและโครเมียม รับกับกันชนหน้าสีทูโทนพร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED อยู่ตำแหน่งเดียวกับช่องระบายอากาศด้านล่างใต้ตำแหน่งป้ายทะเบียน ไฟท้าย LED Light Guiding สีขาวแดงรูปตัว C โฉบเฉี่ยวกว่าไทยและล้ออัลลอยลายทูโทนใหม่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/50R18
โดยทุกรุ่นได้ออปชันเหมือนกันทั้ง กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวทรงสปูน ที่เปิดประตูดึงก้านสีเดียวกับตัวรถ ไฟไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED กันชนหลังทรงสปอร์ต ราวหลังคา ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าเซนเซอร์เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick activated หลังคาพาโนรามิกมูนรูฟแบบ Frameless พร้อมราวหลังคา
ภายในตกแต่งตามความแตกต่างของแต่ละรุ่นครบครันด้วยจอสัมผัสอินโฟเทนเมนต์ขนาด 10.5 นิ้ว รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆพร้อมกับ Wi-Fi รองรับการไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ช่องเสียบ USB Type C พร้อมลำโพง 6 จุด ครั้งนี้ปรับความเร็วของที่ชาร์จไร้สายชาร์จเร็วขึ้นกว่าเดิม 1.5 เท่า
มาตรวัดความเร็วแบบสี TFT ขนาดใหญ่เต็มจอ 12.3 นิ้ว สามารถปรับแต่งได้หลากหลายสไตล์ปรับได้ตามความชอบกับหน้าจอ 4 สไตล์ Casual, Smart, Tough, Sporty พร้อมไฟสร้างบรรยากาศภายใน Ambient Light อัปเกรดใหม่เพิ่มสีสันมากขึ้นรวมถึงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน และเบาะนั่งคู่หน้ามาพร้อมระบบอุ่นเบาะที่ใจดีให้เป็นออปชันมาตรฐานทุกรุ่นย่อย คอนโซลเกียร์ออกแบบใหม่ต่างจากไทยเน้นใช้งานง่ายสะดวกขึ้น
พร้อมออปชันเดิมทั้งกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติและม่านบังแดดปรับไฟฟ้าในตำแหน่งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ พวงมาลัยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ปรับอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start) พร้อมกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Entry) เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold ที่วางแก้วน้ำ ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพนักพิงเบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้ 6 องศา เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40 พนักวางแขนด้านหลัง พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุมากถึง 487 ลิตร
ส่วนรุ่น GR Sport สะท้อนสปอร์ตด้วยการตกแต่งแผงคอนโซลหน้าสีดำ Piano Black พวงมาลัย และเบาะหนังทรงสปอร์ตใหม่ทรงเดียวกับรุ่น GR Corolla หุ้มด้วยหนัง BRIN NAUB® และหนังสังเคราะห์ พร้อมสัญลักษณ์ GR บริเวณพนักพิงศีรษะ เดินตะเข็บด้ายสีแดง พนักพิงศีรษะและฐานก้านพวงมาลัยตกแต่งด้วยโลโก้ GR
ขุมพลังสำหรับตลาดยุโรปเหนือกว่าไทยแน่นอนตรงที่มีเครื่องยนต์ฟูลไฮบริด 2.0 ลิตรเข้ามาด้วยกับ Dynamic Force Hybrid พร้อมระบบฉีดจ่ายน้ำมันโดยตรง D-4S direct injection และควบคุมการเปิด-ปิด วาลว์ไอดี VVT-iE electric variable valve timing แรงเร้าใจและประหยัดให้พลัง
ภายใต้รหัส M20A-FXS 2.0 ลิตร ในภาคเครื่องยนต์ให้กำลัง 152 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาทีแรงบิด 188 นิวตันเมตรที่ 4,400-5,200 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1VM กำลัง 113 แรงม้า แรงบิด 206 นิวตันเมตรและ มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 1WM ให้กำลังมากถึง 41 แรงม้า แรงบิด 84 นิวตันเมตร ในรุ่น E-Four
ทำงานร่วมกันให้พลังมากสุด 200 แรงม้า ขณะที่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีแรงดันไฟ 216 โวลต์ 6.5 แอมป์ชั่วโมง เพิ่มเซลส์ไฟฟ้าขึ้นเป็น 180 เซลส์ และความจุแบต 1.404 kWh (6.5Ah) เป็นระบบ Hybrid เจเนอเรชันที่ 5 พัฒนาใหม่โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาและกะทัดรัดยิ่งขึ้น ติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งด้านหลังลดการเสียพื้นที่ของห้องโดยสาร
และยังมีขุมพลังยอดนิยมฟูลไฮบริด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE พัฒนาให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 142 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหน้ารุ่น 1VM 95 แรงม้า แรงบิด 185 นิวตันเมตร และหลังสำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four รุ่น 1WM 41 แรงม้า แรงบิด 84 นิวตันเมตร ได้แรงม้ารวม 140 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใหม่ที่มีแรงดันไฟฟ้า 207.2 V จำนวนเซลล์ 56 ความจุไฟฟ้า 4 Ah (0.83 kWh)
ทั้งคู่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Paddle Shift เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four มีโหมดการขับขี่ทั้ง EV, POWER, NORMAL ECO MODE และเพิ่มโหมด Snow Extra สำหรับการขับขี่ในสภาพอากาศฤดูหนาวเฉพาะรุ่น GR Sport
พร้อมปรับปรุงการเก็บเสียงให้เงียบขึ้น ช่วงล่างด้านหน้ามาแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลง คอยล์สปริง ช็อคแอบซอร์บเบอร์ทั้งหน้าและหลัง โดยรุ่น GR Sport ปรับช่วงล่างสปอร์ตให้ตัวรถโหลดเตี้ยลงอีก 10 มิลลิเมตร และพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) และความปลอดภัย Toyota T-Mate ที่รวมเอาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS และความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 เข้าไว้ด้วยกันทั้ง
- Automatic High Beam ลดความสว่างของไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อพบรถสวน
- Dynamic Radar Cruise Control แปรผันความเร็วอัตโนมัติโดยใช้เรดาห์ตรวจจับรถคันหน้า
- Road Sign Assist ช่วยสังเกตป้ายสัญญาณเตือน
- Pre-Collision System with Pedestrian Detection เตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับ
- Lane Departure Alert with Steering Assist ช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมฟังก์ชันหน่วงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ
- Lane Tracing Assist ช่วยรักษาตำแหน่งรถในช่องทาง
- Blind Spot Monitor แจ้งเตือนมุมอับสายตา
- Rear Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลัง
- Traffic Jam Assist ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ
- Front Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะเดินหน้า
- Lane Change Assist ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน
- Front and Rear Parking Assist with Automatic Braking ช่วยจอดหน้าและหลังอัจฉริยะพร้อม ช่วยเบรกอัตโนมัติ
Toyota Corolla Cross ไมเนอร์เชนจ์ทั้งรุ่น GR Sport เตรียมขายยุโรปช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป และ High Grade เตรียมขายตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
ที่มา Toyota