ประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกที่เปิดตัวรุ่นใหม่ที่เป็นท็อปสุดของ Ford Ranger ที่เหนือกว่า Ford Ranger Wildtrak กับ Ford Ranger Stormtrak
สำหรับ Ford Ranger Stormtrak เป็นการนำพื้นฐานของรุ่น Wildtrak อัปเกรดความเข้ม ความดุดัน ยกระดับการเป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบความท้าทายไปอีกขั้น ภายนอกเด่นด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมดีไซน์เฉพาะรุ่นแบบสีดำเงา ติดไฟ AUX Lamp (ทำงานเมื่อเปิดไฟสูง) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในทุกสภาพอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับเวลากลางคืนในชุดกระจังหน้า
พร้อมไฟหน้า Matrix LED ปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติแถมป้องกันไฟแยงตาและเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ กับไฟวิ่งกลางวัน DRL LED ในโคมเดียวกัน รับกับกันชนหน้าทรงคล้ายรุ่น Wildtrak แต่งเข้มแบบทูโทนสีดำเงา/สีเดียวกับตัวรถและการ์ดเสริมใต้กันชนหน้าสีเงิน ติดไฟตัดหมอก LED
สติ๊กเกอร์ตกแต่งใหม่รอบคันที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกตัวตนของคนที่มีใจรักในความสมบุกสมบัน ล้ออัลลอยลายใหม่สีดำขลิบแดงขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/55 R20 ชุดช่องระบายอากาศกรอบสีดำในบังโคลนหน้าซ้าย-ขวาปักคำว่า Bi-Turbo ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ บันไดข้างและบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย พื้นปูกระบะท้าย พร้อมช่องต่อไฟ 12V และ 230V (400W) และฝาท้ายแบบผ่อนแรงพร้อมไฟท้าย LED
พิเศษในรุ่น Stormtrak ติดตั้งราวหลังคาดีไซน์ขนาดใหญ่และสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) ให้ผู้ขับขี่ปรับรูปแบบสปอร์ตบาร์ด้วยเลื่อนจุดล็อกได้ 5 ตำแหน่งด้วยมือเดียวรองรับการติดตั้งหรือขนย้ายอุปกรณ์เพื่อการผจญภัยและการทำงานได้หลากหลายรูปแบบอย่างง่ายดาย รองรับน้ำหนักสูงสุด 80 กก. (ขณะขับ) และ 250 กก. (ขณะจอด) โดยมีความยาว 5,370 มม. ความกว้าง 1,918 มม. และความสูง 1,884 มม.
ภายในยกมาจากรุ่น Wildtrak แต่อัปเกรดด้วยโทนสีดำ/แดง ตั้งแต่ชุดแผงคอนโซลหน้าหุ้มหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านคู่หุ้มหนัง และชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดำขลิบแดงปักชื่อ Stormtrak โดย เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า สามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง พร้อมออปชันเดิมทั้ง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB และ ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร Ambient Light
กับความบันเทิงครบครันด้วย หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ สามารถเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมระบบ FordPass และช่องต่อ USB 4 จุด กับมาตรวัดดิจิทัลแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว พร้อมลำโพง 6 ทิศทาง และช่องต่อไฟ 12V พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ auto hold และครั้งแรกกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter หุ้มหนัง
ขุมพลังแรงทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร YN2Q 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter 10R80 กับโหมดการขับขี่ Terrain Management System ที่เลือกได้ถึง 4 โหมดทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery ในรุ่น Stormtrak 4×4 เพิ่มมาอีกสองโหมดสำหรับลุยทั้งโหมด Sand และ Mud/Ruts พร้อมดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า และโช้คอัพคู่หน้าและหลังแบบโมโนทิวบ์
ออปชันความปลอดภัยทั้งพื้นฐานและขั้นสูงมาครบครัน โดยความปลอดภัยในขั้นสูงติดตั้งครั้งแรกกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Fully Automated Park Assist) พร้อมความปลอดภัยครบทั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ, ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB), เตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ช่วยควบคุมรถหลังจากชน , ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Alert), ตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (Blind Spot Information System – BLIS® with cross-traffic alert), ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า, ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน, สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD และดิสก์เบรก 4 ล้อ, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System), ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation) และ ควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control),
Ford Ranger Stormtrak พร้อมตัวเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ 4×4 และ 4×2 มีสีภายนอกให้เลือก 4 สี ทั้ง สีขาว Arctic White, สีเทา Meteor Grey, สีดำ Absolute Black และ สีส้ม Sedona Orange (สีพิเศษ เพิ่มเงิน 10,000 บาท) โดยราคาจำหน่ายจะประกาศอย่างเป็นทางการที่งาน Bangkok Motor Show 2023 โดยค่าตัวจะอยู่ราวๆ 1,279,000-1,399,000 บาท
และยังสามารถเลือกติดตั้งฝาปิดกระบะท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า (Power Roller Shutter) เป็นออปชันเสริมจากโรงงานได้ ทั้งนี้แผ่นรองกันกระแทกใต้ท้องรถเป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษติดตั้งเพิ่มเติมโดยผู้จำหน่ายฟอร์ด