More

    ยลโฉมจริง! Ford Everest Wildtrak พีพีวีมาดลุย เกิดมาหล่อ

    หลังจากเปิดตัวที่นิวซีแลนด์ได้ไม่นานล่าสุดไทยเป็นประเทศที่สองเปิดตัวรุ่นเหนือกว่า Ford Everest Titanium+ 4×4 กับ Ford Everest Wildtrak

    Ford

    Ford Everest Wildtrak ยกมาดลุยโหดมาจากกระบะ Ford Ranger Wildtrak แต่ปรับสไตล์ให้ลงตัวในร่างอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งตั้งแต่ กระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ทรงหกเหลี่ยมสีดำ พร้อมตัวอักษร WILDTRAK สีดำบนฝากระโปรงหน้า ออกแบบเพื่อสะท้อนสไตล์ของนักผจญภัยโดยเฉพาะพร้อมไฟหน้ารูปตัว C แบบ Matrix LED ที่มีไฟ LED Daytime รูปตัว C ในโคมเดียวกัน พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ ป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติกลมกลืนกับชุดเสริมกันชนหน้าและส่วนล่างมีคิ้วชายล่างสีเงินและไฟตัดหมอกหน้า LED ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ

    ล้ออัลลอยหกก้านทูโทนลายพิเศษขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/55 R20 ราวหลังคาแบบมีช่องยกมาจาก Everest Platinum พร้อมชุดแต่งสีดำทั้งชิ้นตั้งแต่กระจกมอง คิ้วระบายอากาศที่บังโคลนหน้าซ้าย-ขวา คิ้วด้านท้าย โดดเด่นเป็นสง่า ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้าเตะได้ Kick Activated ด้วยความยาว 4,914 มม.ความกว้าง 1,923 มม. และความสูง 1,842 มม.

    Ford

    ภายในแน่นอนว่ายกมาจาก Ford Ranger Wildtrak เกือบทั้งหมดตั้งแต่เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำ เดินด้ายสีส้ม ปักชื่อ Wildtrak ไว้กลางตัวเบาะแบบปรับคู่หน้าด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านหุ้มหนังเดินด้ายส้ม เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 พับไฟฟ้า ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ

    พร้อมออปชันเดิมไม่ว่าจะเป็นแท่นชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนัง พร้อมเบรกมือไฟฟ้า และ Auto Hold แผงมาตรวัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 12 นิ้ว Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ พร้อมลำโพง 8 จุด ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB  4 จุด ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร

    ช่องต่อไฟ 12V (12V Power Sockets)  3 ช่อง และ 230 V 1 ช่อง หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จมือถือ โน้ตบุ๊คได้ พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass™ ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์สั่ง สตาร์ทรถผ่านทางแอปฯ ได้ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ

    Ford

    ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร YN2Q 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter 10R80 รุ่น 10R80 e-Shifter พร้อมขับเคลื่อนสี่ล้อ Part Time 4WD (2H,4H,4L) พร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System  6 โหมดทั้งโหมด Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery, Sand และ Mud/Ruts พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มม. และมีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กก.

    ออปชันความปลอดภัยทั้งพื้นฐานและขั้นสูงมาครบครัน โดยความปลอดภัยในขั้นสูงติดตั้งครั้งแรกกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Fully Automated Park Assist) พร้อมความปลอดภัยครบทั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ, ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB)

    เตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ช่วยควบคุมรถหลังจากชน , ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Alert), ตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (Blind Spot Information System – BLIS® with cross-traffic alert), กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ตรวจเช็กลมยาง และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ

    FordFord

    อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า, ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน, สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD และดิสก์เบรก 4 ล้อ, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System), ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) และลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation) และควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control)

    Ford Everest Wildtrak ขายตัดหน้านิวซีแลนด์โดยจะเปิดตัวและประกาศราคาที่งาน Bangkok Motor Show 2023 มีสีภายนอกให้เลือก 6 สีทั้ง สีเงิน Aluminium Metallic, สีเทา Meteor Grey, สีดำ Absolute Black, สีขาวมุก Snowflake White Pearl (เพิ่มเงิน 12,000 บาท), สีเหลือง Luxe Yellow (เพิ่มเงิน 12,000 บาท) และสีส้ม Sedona Orange (เพิ่มเงิน 12,000 บาท) คาดค่าตัวอยู่ราวๆ 1,954,000-1,994,000 บาท

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts