ตลาดรถยนต์ลักชัวรีเอ็มพีวีกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อค่ายรถยนต์ชื่อดังอย่าง Toyota ส่ง Toyota Alphard และ Toyota Vellfire เจนที่ 4 เข้ามาขายในไทย
แถมนำเข้าโดยบริษัทแม่ Toyota ในราคาเริ่มสี่ล้านต้นๆถึงสี่ล้านกลางๆตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮโซ ดารา เซเลปชื่อก้องที่ถวิลหาหรือจากที่เคยใช้เจนก่อนๆหวังซื้อเพิ่มด้วยขุมพลังลูกผสมแบบฟูลไฮบริดแต่ว่า Alphard Killer จากแดนมังกรอย่าง MG Maxus 9 อาจต้องเจอศึกหนักเมิ่อพี่เบิ้มอย่าง Toyota Alphard มาแบบเทหน้าตักแบบ เป็นใครจะยอมได้งัดอาวุธชิ้นสำคัญด้วยความเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนแถมค่าตัวย่อมเยาก็ทำให้ลูกค้าชะงัก ชะลอ ชั่งใจว่าจะเลือกคันไหนดีวันนี้ Car2Day จะมาเจาะสเปกเอ็มพีวีสายหรูสองรุ่นจากสองประเทศรุ่นท็อปสุดกัน
Design & Exterior
Toyota Alphard รุ่น HEV Luxury เป็นเจเนอเรชันที่สี่ในรหัส AH40 ให้ทุกการขับเคลื่อนเต็มไปด้วยสมรรถนะที่ดีเยี่ยมและนุ่มนวลเป็นที่สุดแห่งสุนทรียะในทุกการเดินทางด้วยดีไซน์ภายนอกภายใต้คอนเซปต์ “Forceful x Impact Luxury” ถ่ายทอดความสง่างาม และทรงพลัง ดังนี้
- กระจังหน้าโครเมียมพร้อมโลโก้สามห่วงครั้งแรกที่นำมาใช้ใน Alphard
- ไฟหน้าแบบ LED Projector 3 ดวง พร้อมไฟ Daytime Running Lights แบบ LED
- ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
- ไฟเลี้ยวหน้า-หลังแบบวิ่ง Sequential
- ชุดกันชนหน้า-กันชนหลังดีไซน์หรู
- ด้านข้างมีเอกลักษณ์ด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร Alphard และตราโลโก้เฉพาะบริเวณประตูคู่หน้าตรงเสา B
- เสริมคิ้วโครเมียมเด่นทั้งกรอบกระจกทุกส่วน
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ทรงสปูน
- ที่เปิดประตูโครเมียมแบบดึงก้านออก
- ชุดแผงป้ายทะเบียนท้ายติดตรา Alphard ที่ออกแบบเว้นช่องว่างของตัวอักษรให้สวยงาม ข้างบนของชุดแผงป้ายทะเบียนติดตราสามห่วงไว้สองฝั่ง
- ไฟท้าย LED แบบเป็นเกล็ดเสริมขอบโครเมียมไว้กรอบไฟท้ายและไฟตัดหมอกหลัง
- ฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณไฟท้าย
- ประตูสไลด์ 2 บาน เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า
- หลังคามูนรูฟแบบ Twin Moonroof 2 บานตรงกลางซ้าย-ขวา
- ล้ออัลลอยขนาดใหญ่สุด 19 นิ้ว พร้อมยาง 225/55R19
- สัญลักษณ์ Executive Lounge ติดตั้งในฝาท้าย
ทางด้าน MG Maxus 9 นำพื้นฐานของ MAXUS MIFA 9 หรือ LDV MIFA 9 แปะตรา MG หรูหราด้วยการดีไซน์ออกแนวเท่เริ่มที่
- ขอบฝากระโปรงโดยตัวฝากระโปรงรถต้องเปิดสองรอบเปิดมาเป็น ฝาครอบเครื่องพร้อมช่องเก็บสัมภาระ
- กระจังหน้าปิดทึบ
- ชุดไฟ LED เริ่มที่ไฟหน้าแนวตั้ง full LED adaptive headlights ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
- กันชนหน้าขึ้นรูปรับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ
- ชุดตกแต่งโครเมียมที่ขอบกระจังหน้า ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง
- ไฟท้ายดีไซน์แนวยาว LED
- ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
- ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า
- หลังคารถแบบพาโนรามิกซันรูฟคู่ Dual Panoramic Sunroof ที่เปิดทั้งแบบสไลด์และกระดกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า
- ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 19 นิ้ว สไตล์ aerodynamic พร้อมยางแบบ Run Flat 235/55R19
Dimension
Toyota Alphard รุ่น HEV Luxury ตัวรถสร้างจากพื้นฐาน TNGA (GA-K) ใหญ่ขึ้นทุกมิติตั้งแต่
- ความยาว 5,010 มม.
- ความกว้าง 1,850 มม.
- ความสูง 1,950 มม.
- ฐานล้อ 3,000 มม.
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 150 มม.
- น้ำหนักรถ 2,230 กก.
- ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตร
MG Maxus 9 รุ่น V มิติตัวรถตั้งแต่
- ความยาว 5,270 มม.
- ความกว้าง 2,000 มม.
- ความสูง 1,840 มม.
- ฐานล้อ 3,200 มม.
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 140 มม.
- น้ำหนักรถ 2,535 กก.
ถึงจะเป็นรถตู้ระดับหรูแต่สไตล์คนละแบบและเมื่อดูจากทุกส่วนของตัวรถทั้งสองคันพบกว่า MG Maxus 9 ได้เปรียบเกือบทุกส่วนเมื่อเทียบกับ Toyota Alphard ดังนี้
- ยาวกว่า Alphard 260 มม.
- กว้างกว่า Alphard 150 มม.
- ฐานล้อยาวกว่า Alphard 200 มม.
- น้ำหนักรถเบากว่า Alphard 305 กก.
แต่ Alphard ได้เปรียบตรงที่ความสูงตัวรถสูงกว่า MG 110 มม. และความสูงใต้ท้องรถสูงกว่า MG 10 มม.
Interior & Convenience
ภายใน Toyota Alphard HEV Luxury เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสารก็จะพบกับความอลังการกับงานออกแบบที่หรูหราตอบโจทย์ผู้นำเริ่มที่
- ชุดแผงคอนโซลหน้าที่ไปคล้ายกับ Lexus LM บุด้วยหนังสัมผัสเดินด้ายอย่างประณีตตกแต่งด้วยลายไม้ Uzuramoku
- จอสัมผัสขนาดใหญ่ตั้งแต่ 14 นิ้ว เชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay ไร้สาย และ Android Auto รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอป T-Connect ระบบนำทาง
- ปุ่มการทำงานของจอสัมผัสและเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ 4 โซน
- ระบบฟอกอากาศ Nanoe X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้าและตอนหลัง
- มาตรวัดดิจิทัล 12.3 นิ้ว
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านออกแบบใหม่หุ้มหนังกับลายไม้ Uzuramoku ปรับสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า
- จอแสดงข้อมูลการขับขี่เหนือแผงคอนโซลหน้า Head-Up Display
- ชุดเบาะนั่งหุ้มหนังแท้ Premium Nappa
- เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้าโดยด้านคนขับปรับได้ 8 ทิศทางพร้อมระบบความจำ 3 ตำแหน่งและผู้โดยสาร 4 ทิศทาง
- เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแยกอิสระ แบบ Executive Lounge ปรับได้ 10 ทิศทาง เบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet 5.5 นิ้ว พร้อมโต๊ะส่วนตัวแบบพับได้ตกแต่งลายไม้ Uzuramoku
- เบาะนั่งผู้โดยสารตอนที่สามนั่งได้สามที่นั่งสามารถพับได้แบบ 50/50
- Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง
- คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว
- ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า
- ไฟสร้างบรรยากาศแบบ Ambient Illumination Light LED 64 สีบนหลังคา
- ลำโพงคุณภาพพรีเมียม JBL 15 จุด
- ช่องชาร์จแบบเสียบสายผ่าน USB-C ทั้งด้านหน้า 3 จุด และด้านหลัง 4 จุด
- ที่ชาร์จมือถือไร้สาย
- เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Hold
- เลือกโทนสีภายในได้สองสีทั้งสีภายในสีดำ Black และสีภายในสีน้ำตาล Sunset Brown
ทางด้าน MG Maxus 9 หรูไม่แพ้กันตั้งแต่
- แผงคอนโซลแบบ Double Layer
- มีจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto ผ่าน QD Link
- ลำโพง 12 จุด
- ช่องเชื่อมต่อ USB 9 จุด
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสองก้าน
- มาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว
- กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติเป็นกล้องมองด้านหลังผ่านจอที่กระจกได้แบบ Streaming Media Rearview Mirror
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระสามจุดทั้งด้านหน้าซ้าย-ขวา และบริเวณด้านหลังหลังแบบอิสระ
- ระบบกรองอากาศ PM 2.5
- กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะพร้อมระบบ Push Start
- ที่ชาร์จมือถือไร้สาย
- เบาะนั่งหรู 7 ที่นั่งหุ้้มกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายขาว
- เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าด้านคนขับปรับ 8 ทิศทางและฝั่งผู้โดยสารปรับ 4 ทิศทางมีระบบอุ่นเบาะระบายอากาศ นวดเพื่อผ่อนคลาย
- เบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวดเบาะทำงานครั้งหนึ่งครึ่งชั่วโมง ระบบอุ่นเบาะระบายความร้อนเบาะ
- มีระบบควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์ โต๊ะพับสามารถใช้งานหลากหลายจะวางโน้ตบุ๊ควางไอแพดหรือเซนงานเอกสารได้ตามสะดวก ที่วางแก้ว ช่องเสียบ USB ในส่วนเบาะนั่งตอนที่สอง
- เบาะนั่งตอนที่สามนั่งได้แบบสามที่นั่งปรับเลื่อนและพับได้สามารถขนได้ตามใจชอบ
- มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light อย่างอบอุ่นถึง 64 สี
- ช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V
Power & Transmission
ถึงจะใหม่หมดทั้งคันแต่ Toyota Alphard พ่วงพลังมีถ่านเบตเตอรี่แบบ Hybrid และมอเตอร์ไฟฟ้าจาก เบนซิน Hybrid Dynamic Force รหัสใหม่ A25A-FXS 2.5 ลิตร รองรับน้ำมันสูงสุด E10 ให้กำลังถึง 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 238 นิวตันเมตรที่ 4,300-4,500 รอบ/นาทีในภาคเครื่องยนต์
- ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าแบบ 5NM ให้กำลัง 182 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร
- มอเตอร์ไฟฟ้าหลังแบบ 4NM 54 แรงม้า แรงบิด 121 นิวตันเมตร
- แบตเตอรี่ Hybrid แบบ Nickel-Metal
- ทำงานร่วมกันได้กำลังสูงถึง 250 แรงม้า
- จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT พร้อมโหมดการขับขี่ถึงสามโหมดทั้ง EV, Normal และ ECO
- ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ E-Four
- ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังอิสระ Double Wishbone เสริมเหล็กกันโคลงหน้า-หลังและตัวค้ำโช้ค
- เพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนเสริมด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าที่มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 ม.
ส่วน MG Maxus 9 รุ่น V ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion จัดวางแบบ Cell To Pack ที่ให้ความจุ 90 Kwh
- ให้แรงม้าสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร
- ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 540 กม. (NEDC)
- พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง โหมด Normal, Eco และ Sport
- มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 kW ชาร์จ 5-100 % ในเวลา 8.30 ชม. และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% ในเวลา 30 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 120 kWh
- คู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed ขับเคลื่อนล้อหน้า
- ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) หรือ One Pedal ตัวรถจะหน่วงเองโดยอัตโนมัติในเวลาเบรก
- ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัทและระบบช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์
- พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้ากับรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.4 ม.
Safety & Feature
Toyota Alphard ให้ความปลอดภัยระดับขั้นเทพแบบ Toyota Safety Sense ทั้ง
- เตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision System (PCS)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบเรดาห์ All-Speed Dynamic Radar Cruise Control (DRCC)
- หยุดและเคลื่อนรถอัตโนมัติและลดความเร็วอัตโนมัติขณะเข้าโค้ง LANE TRACING ASSIST WITH CURVE SPEED REDUCTION ในชุด DRCC
- เตือนรถออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ Lane Departure Alert (LDA)
- ช่วยให้รถอยู่ตรงกลางเลน Lane Tracing Control (LTA)
- เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam (AHB)
- ไฟสูงปรับการกระจายแสงอัตโนมัติ Adaptive High Beam System (AHS)
- เตือนจุดมุมอับสายตา Blind Spot Monitoring (BSM)
- เตือนขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- เตือนขณะออกจากรถ Safe Exit Assist (SEA)
- กระจกมองหลังแบบดิจิทัล
- เซนเซอร์รถอัจฉริยะสามารถเบรกอัตโนมัติเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง Intelligent Clearance Sonar
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด
- กล้องมองภาพรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor)
- สัญญาณกะระยะการจอดหน้า-หลัง รวม 4 ตำแหน่ง
- ป้องกันล้อล็อก ABS
- กระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution)
- เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ควบคุมการทรงตัว VSC พร้อม TRC
- ควบคุมการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAC
- ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน DSC
- สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ MG Maxus 9 มาครบติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคันด้วยความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) ได้แก่
- ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame)
- เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ป้องกันล้อล็อก ABS
- กระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution)
- เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS (Driver Monitor System)
- ช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist),
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ
- สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง
Price & Color
- Toyota Alphard รุ่น HEV Luxury มีสีภายนอกเลือกถึง3 สีทั้งสีดำ Black, สีขาวมุก Platinum White Pearl และสีเทา Precious Metal ราคา 4,499,000 บาท
- MG Maxus 9 รุ่น V มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) สีเทาหลังคาดำ Granite Grey / Black Top ราคา 2,699,000 บาท
Verdict
แน่นอนที่สุด Toyota Alphard รุ่น HEV Luxury มาพร้อมความใหม่สดของบอดี้รวมถึงความเป็นระบบไฮบริด เมื่อทำงานผสานกับเครื่องยนต์จึงเกิดผลลัพธ์ว่าสามารถให้พลังเทียบเท่า MG Maxus 9 และระบบต่างๆที่ใช้งานง่ายกว่าไม่ซับซ้อนกว่า MG Maxus 9 จำนวนศูนย์บริการเยอะกว่าแม้ค่าตัวแพงกว่าแต่ความนิยมที่สั่งสมมาตั้งแต่เจนที่ 1 ไม่เสื่อมศรัทธายิ่งนิยมมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมการรับประกันจาก Toyota ตั้งแต่
- แพ็กเกจขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี (ช่วงปีที่ 6-10)
- รับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
- ขยายระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม.เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนด
- ฟรีค่าแรงเช็คระยะจนถึง 100,000 กม.
ด้าน MG Maxus 9 แม้เป็นน้องใหม่ในกลุ่มจากเมืองจีนแต่ได้เปรียบที่เป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนที่ความประหยัดโดดเด่นถึงแม้จะสามารถวิ่งได้ไกลสุด 540 กม. เสียงเงียบเดินเรียบทุกช่วงการขับขี่ที่ไม่สร้างความรำคาญใจเหมือน Alphard ที่ขับไปนั่งฟังเสียงเครื่องตัดสลับเสียงมอเตอร์ไฟฟ้า
หนึ่งความยุ่งยากนั่นคือฟังกชันต่างๆของตัวรถไปรวมกันในจอสัมผัส 12.3 นิ้ว และจอ Detachable Tablet ทำงานของตัวรถทั้งคันไม่ว่าจะเป็นการเปิดปิดหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ กระจกไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ การตั้งค่าตัวรถ รวมถึงใช้งานเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ที่ต้องไปปรับที่จออย่างเดียวกระทั่งไม่อยากให้รถดับขนาดจอดก็สามารถเข้าไปกดปุ่ม Temporary Parking ด้วยค่าตัวถูกกว่า Alphard กับการรับประกันอันหลายหลากทั้ง
- การรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- พิเศษ! เงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- ฟรี! MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด และฟรีค่าติดตั้ง
สุดท้ายนี้ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าชอบใช้ใช้งานแบบไหน ชอบจุดไหนไม่ชอบจุดไหนแต่ถ้ายังไม่มั่นใจการทดลองขับสัมผัสของจริงก็เป็นคำตอบที่ดีเพื่อประกอบการตัดสินใจให้ง่ายขึ้นกับลักชัวรีเอ็มพีวีนำเข้าที่ส่วนต่างอยู่ที่ 1,800,000 บาท