ปีนี้ทางค่าย OMODA และ JAECOO เอาจริงกับตลาดรถเมืองไทยส่งรุ่นใหม่ออกจำหน่ายถึง 4 รุ่น นำโดย OMODA C5 EV และรวมถึงแบรนด์ เจคู เช่น JAECOO 6
JAECOO 6 นั่นก็คือ iCAR 03 เอามาแปะตรา JAECOO ส่งขายทั่วโลกรวมถึงไทยดีไซน์คล้ายกับ Jetour Traveller ย่อส่วนเพื่อความเป็น iCAR โดยเฉพาะเริ่มที่กระจังหน้าทรงซี่แนวตั้งสีดำ แปะตราตัวอักษร I มีไฟเรืองแสง พร้อมชุดไฟหน้าดีไซน์ยูคว่ำประกบด้วยชุดไฟหน้า LED ขนาดเล็ก มีไฟแนวตั้งแบบ DRL LED สองข้างรับกับกันชนหน้าสีดำเข้ม
ด้านข้างมีความคล้ายกับ Land Rover Defender ด้วยที่เปิดประตูเรียบเนียนกับตัวรถ หลังคารถสีดำพร้อมราวหลังคาและดีไซน์เสา A-D เน้นความเหลี่ยมและหนักแน่นสร้างความโดดเด่นและดุดันให้กับตัวรถ ไฟท้าย LED แนวตั้งพร้อมฝาท้ายเปิดบานใหญ่ พร้อมกล่องขนาดใหญ่เก็บสัมภาระในตำแหน่งเดียวกับที่ห้อยยางอะไหล่สไตล์รถลุยยุค 90 กันชนหลังดีไซน์สปอร์ตและล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 225/55 R19
ตัวรถมีขนาดคอมแพ็คเล็กกว่า Jetour Traveller ทรงกล่องห้าประตูจากแพลตฟอร์ม i-MS Platform โดยโครงสร้างตัวรถแบบเหล็กและอะลูมีเนียม ตั้งแต่ความยาว 4,406 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,910 มิลลิเมตร ความสูง 1,715 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,715 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,892 กิโลกรัมและระยะต่ำสุดจากพื้น 170 มิลลิเมตร
ภายในทันสมัยด้วยคอนโซลหน้าทรงถึกสี่เหลี่ยมพร้อมออปชันเด่นทั้ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงท้ายตัด มาตรวัดดิจิทัล LCD 10.25 นิ้ว จอสัมผัสขนาดใหญ่ 15.6 นิ้วประมวลแม่นยำด้วยชิฟ Qualcomm Snapdragon 8155 ห้องโดยสารนั่งสบายพร้อมไฟสร้างบรรยกาศในห้องโดยสารหรือ Ambient Light พร้อมลำโพง รอบคัน จาก Infinity และสบายแบบ 5 ที่นั่ง และที่เปิดประตูเป็นแบบกดปุ่มแทนก้านดึงตามสมัยนิยมอาจจะสร้างความมึนงงในการใช้งานช่วงแรก
ขุมพลังประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Qida Permanent magnet Motor พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ LFP จาก CATL รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่เพิ่มมอเตอร์ล้อหน้าเข้ามา 95 แรงม้า แรงบิด 165 นิวตันเมตร ผสมกับมอเตอร์ล้อหลัง 184 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกัน ให้กำลังรวม 279 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตันเมตร จากความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 69.8 kWh ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ในระยะเวลา 6.5 วินาที วิ่งได้ไกลสุด 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จได้ทั้งแบบกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 30 นาที และกระแสสลับ AC
พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนการชนด้านหน้าและหยุดรถอัตโนมัติ FCW & AEB (Front Forward Collision Warning & Autonomous Emergency Brake) เบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน MCB (Multi-Collision Brake) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (TRAFFIC JAM ASSIST) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM (Blind Spot Monitoring) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System) ช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (EMERGENCY LANE KEEPING ASSIST)
อ่านป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Recognition) เตือนก่อนเปิดประตูรถ DOW (Door Open Warning) ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อม Stop&Go เตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDWS (Lane Departure Warning System) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน จำกัดความเร็วอัจฉริยะ ISL (Intelligent Speed Limter) ช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) กล้องมองภาพรอบคันถุงลมนิรภัยรอบคัน รวมถุงลมนิรภัยคั่นกลางระหว่างเบาะหน้ากับใต้เข่าคนขับ
สำหรับรุ่นนี้จะเปิดตัวที่ไทยเป็นที่แรกของโลกในเวอร์ชันพวงมาลัยขวาจะประกาศราคาในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีนี้ มาพร้อมกับ JAECOO 8 PHEV โดยก่อนหน้านั้น OMODA C5 EV เปิดขายไทยช่วงไตรมาสที่สองคาดเป็นช่วงเดือน พฤษภาคม กับค่าตัวไม่เกินล้าน และ JAECOO 7 PHEV เปิดขายช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้
ทางด้านเครือข่ายการจำหน่ายชัดเจนแล้วว่ามีมากกว่า 35 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งล่าสุด ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับผู้แทนจำหน่ายระดับประเทศครั้งแรก พร้อมกับตั้งเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากประเทศจีนในไทย และโรงงานประกอบรถอีวีในไทยจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2025