เอสยูวีรุ่นใหม่ค่าย NETA จากรหัส EP32 สู่ NETA L พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่แรกของโลกที่งาน Beijing Auto Show 2024
NETA L มาในร่างเอสยูวีที่โดดเด่นด้วยหลังคารถลาดเอียง ด้านหน้าคล้ายกับ NETA X ตั้งแต่ไฟหน้า LED พร้อมดีไซน์ชุดกระจังหน้า ช่องระบายอากาศรูปตัวเอ็กซ์ มีพอร์ตเสียบชาร์จไฟฟ้าที่บนโคลนหลังด้านขวา มือจับประตูซ่อนเนียนกับตัวถังรถ กระจกมองข้างทรงสปูน ไฟท้าย LED ทรงตัวเอชแนวยาวพาดตัวถัง
กันชนท้ายทรงสปอร์ตโทนเข้มคล้ายกับ NETA S ฝาท้ายติดตั้งที่ปัดน้ำฝนด้าน มีพอร์ตชาร์จไฟฟ้าที่บนโคลนหลังด้านขวา ล้ออัลลอยเลือกได้ทั้งขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/60R18 และขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 225/55R19
สร้างขึ้นด้วยแพลตฟอร์ม Shanhai chassis และ Haozhi 2.0 technology พร้อมความยาว 4,770 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,900 มิลลิมเมตร ความสูง 1,660 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,810 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,935- 2,310 กิโลกรัมในเวอร์ชันไฟฟ้าล้วน
ภายในรถยังมีหน้าจอขนาดใหญ่ด้วยกันถึงสามจุดตั้งแต่จอมาตรวัด LCD ฝั่งคนขับขนาดเล็ก และจอคู่ขนาดใหญ่ติดตั้งตรงกลางและฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า คอนโซลหน้าสีดำพร้อมหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงท้ายตัดสามก้านหุ้มหนังสามก้านเบาะนั่งทรงสปอร์ตปรับไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมถาดโต๊ะอเนกประสงค์พับได้ เบาะหลังนั่งสบายมีที่ท้าวแขน ไฟสร้างบรรยากาศภายใน Ambient Light
ขุมพลังมีให้เลือกถึงสองรูปแบบทั้งแบบไฟฟ้าล้วน BEV ด้วย LFP battery pack TZ210XS001 แบบ Lithium iron ขนาดความจุ 69 kWh จาก SVOLT ให้กำลังสูงสุด 231 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง วิ่งไกลถึง 510 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐาน CLTC
ขุมพลังเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าแบบ EREV ด้วยการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร H15R จาก Dongfeng ให้กำลัง 91 แรงม้าในภาคเครื่องยนต์ใช้ในการปั่นไฟ พร้อมแบตเตอรี่ Lithium iron แบบ LFP จาก SVLOT ขนาดความจุ 30.1 กับ 30.4 kWh และความจุใหญ่ 40.27 kWh จาก CATL กับมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังถึง 227 แรงม้าและยังสามารถเสียบปลั๊กแบบ Plug In Hybrid ได้ วิ่งไกลในโหมดไฟฟ้า 164 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งและ 1,070 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งสำหรับวิ่งไกลสุดในโหมดน้ำมันกับไฟฟ้า
NETA L ทั้งรุ่น EV และ EREV เปิดตัวและเริ่มส่งมอบตั้งแต่ 25 เมษายน ที่งาน Beijing Auto Show 2024 และจะเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่จะทำตลาดทั่วโลกอีก 20 ประเทศต่อจาก NETA V-II และ NETA X และมีโอกาสเข้าไทยด้วยหรือไม่ต้องติดตาม
