กลับมาอีกครั้งกับงานแสดงรถยนต์ยิ่งใหญ่ระดับประเทศอย่างงาน Bangkok Motor Show 2024 ที่ครั้งนี้ทาง กรังด์ปรีซ์ ทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท
เนรมิตพื้นที่กว่า 76,000 ตารางเมตร ให้เป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับโลก มาในธีม The Mobility of Joyful Experiences ประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทาง เมื่อถนนแห่งเทคโนโลยียานยนต์และการดำรงชีวิตเดินทางมาบรรจบกัน ความสวยงามของยานยนต์ เทคโนโลยีที่ท้าทายสะท้อนความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เติมเต็มความสุขและประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทาง
สำหรับปีนี้มีค่ายรถยนต์มากถึง 35 แบรนด์ ทั้งจาก เอเชีย อเมริกา และยุโรป เข้าร่วมงานในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของค่ายรถและมั่นใจต่อแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยและเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถน้องใหม่เข้าร่วมงานครั้งนี้หลายค่ายการเผยโฉมรถรุ่นใหม่ไม่ต่ำกว่า 5 แบรนด์ เพื่อตอบทุกความต้องการทาง Car2Day จึงรวบรวมและคาดการณ์กับรถยนต์ที่จะเปิดตัวภายในงาน เริ่มด้วย
AION : AION Y Plus 550 Ultra x HYPER GT x HYPER SSR x HYPER HT
หลังทำตลาดในไทยจนมีเสียงค่อนขอดในเรื่องราคาที่รับไม่ได้จนแก้แกมด้วยปรับราคาลงถึงสองครั้งและล่าสุกับราคาของ AION Y Plus 490 Premium 995,900 บาท รวมถึงการเสริมทัพของ AION ES รถแท็กซี่อีวีที่เห็นบนท้องถนนกรุงเทพฯมากขึ้น และภายในงานจะนำรุ่นท็อปสุดอย่าง 550 Ultra ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าที่ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 225 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ Ternary Lithium ความจุแบตเตอรี่ 68.3 kWh วิ่งไกลสุด 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนี่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC มีโหมด Sport, Normal, ECO ด้านการชาร์จแบบกระแสตรง DC รองรับการชาร์จ 80 kW 10-80% ภายใน 45 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับ 7kw 0-100% ภายใน 8-9 ชั่วโมง ในราคา 1,299,900 บาท
พร้อมนำรุ่นอื่นๆมาเปิดตัวกับ HYPER GT เก๋งไฟฟ้าประตูปีกนก ร้างจากพื้นฐาน AEP3.0 EV-dedicated architecture ขุมพลังเป็นแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังที่สามารถชาร์จได้ทั้งกระแสตรง DC และกระแสสลับ AC มีทั้งหมดสามรุ่นย่อยเริ่มที่รุ่นเริ่มต้นใช้ขนาดแบตเตอรี่ 60 kWh แบบ NMC ให้กำลังสูงถึง 245 แรงม้า แรงบิด 355 นิวตันเมตร เห็นได้ชัดว่าเพียงพอที่จะขับเคลื่อนในอัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.6 วินาทีและสามารถเดินทางได้ 560 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC หรือ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC
ขยับมาอีกรุ่นที่ใช้ขนาดแบตเตอรี่ 70 kWh แบบ NMC ให้กำลังสูงถึง 245 แรงม้า แรงบิด 355 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.6 วินาทีและสามารถเดินทางได้ 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC หรือ 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC และรุ่นท็อปสุดใช้ขนาดแบตเตอรี่ 80 kWh แบบ NMC ให้กำลังสูงถึง 339 แรงม้า แรงบิด 434 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเดินทางได้ 710 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC หรือ 640 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC
HYPER SSR ซูเปอร์คาร์เด่นด้วยประตูปีกนกผสมผสานด้านงานดีไซน์จากรถดังแดนปลาดิบอย่าง Honda NSX เจเนอเรชันที่ 2 กับ Tesla Roadster ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลัง 1,224 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 12,000 นิวตันเมตร ในรุ่นเริ่มต้นสามารถทำอัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 2.3 วินาที ในขณะที่อีกสองรุ่นสามารถทำได้ภายใน 1.9 วินาทีชุดแบตเตอรี่นิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ (NMC) ขนาด 74.69 kWh ซึ่งวิ่งได้ระยะทาง 505 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC
อีกรุ่นกับ HYPER HT เอสยูวีไฟฟ้าประตูปีกนกคู่หลังที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นจุดเด่นด้านการที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Tesla Model X ขุมพลังเป็นแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังถึงสี่รุ่นย่อยเริ่มรุ่นเริ่มต้นใช้ขนาดแบตเตอรี่ลิเธียมไออน 70 kWh แบบ LFP ให้กำลังสูงถึง 245 แรงม้า แรงบิด 355 นิวตันเมตร เห็นได้ชัดว่าเพียงพอที่จะขับเคลื่อน SUV ในอัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.8 วินาทีและสามารถเดินทางได้ 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนก้อนแบตเตอรี่แบบ Swap
ขยับมาอีกรุ่นที่ใช้ขนาดแบตเตอรี่ 80 kWh แบบ NMC ให้กำลังสูงถึง 340 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.8 วินาทีและสามารถเดินทางได้ 670 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รุ่นท็อปสุดใช้ขนาดแบตเตอรี่ 93 kWh แบบ NMC ให้กำลังสูงถึง 340 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.2 วินาทีและสามารถเดินทางได้ 770 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รุ่นรองท็อป 80 kWh และรุ่นท็อป 93 kWh สามารถชาร์จได้ทั้งกระแสตรง DC และกระแสสลับ AC
เตรียมที่จะเปิดตัวและเปิดขายในงาน คาดว่าจะส่งมอบช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ การครั้งนี้ตั้งใจท้าชนคู่แข่งร่วมชาติอย่าง DEEPAL S07
BMW : BMW 5 Series, BMW iX2
ปีนี้ค่ายรถจากเมืองมิวนิกขยันเปิดตัวรุ่นใหม่กันหลายรุ่นเริ่มที่ BMW 5 Series เจนที่ 8 โดดเด่นที่ที่เปิดประตูที่หวนกลับมาใช้แบบยกก้านแทนดึงก้านคล้าย BMW X1 และเสา C ติดตรารูปเลข 5 เพื่อบอกว่าคันนี้คือ 5 Series มีด้วยกันหลายทางเลือกจากพื้นฐานเครื่องสันดาปในรุ่น 530e ให้กำลัง 299 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ส่วน 520d พ่วง Mild Hybrid 197 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 400 นิวตันเมตร ในราคาเริ่มต้น 3,779,000-3,949,000 บาท
อีกรุ่นกับ BMW iX2 ไฟฟ้าล้วนในราคา 3,399,000 บาท ด้วยขุมพลังไฟฟ้าล้วนแบบ eDrive technology เจนที่ 5 ความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion 66.5 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวคู่หน้าและคู่หลังขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังเท่ากัน 190 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 247 นิวตันเมตรที่ 0-4,900 รอบต่อนาที เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังมากสุด 313 แรงม้าที่ 4,300-15,200 รอบต่อนาที แรงบิด 494 นิวตันเมตรที่ 0-4,300 รอบต่อนาที
วิ่งไกลสุด 417-449 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP ให้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 5.65-6.13 กิโลเมตรต่อkWh (17.7-16.3 kWh ต่อ 100 กิโลเมตร) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 22 kW ภายใน 3.45 ชั่วโมง ชาร์จ AC แบบ 11kW 0-100% ได้ 6.15 ชั่วโมง ด้านชาร์จเร็วกระแสตรง DC สูงสุด 130 kW จาก 10-80% ภายใน 29 นาที และถ้าชาร์จ 10 นาที เพิ่มระยะทางการวิ่งไกลอีก 120 กิโลเมตร
BYD : BYD SEAL U x BYD Dolphin MINI x BYD SEA LION x BYD Song MAX YANGWANG U9 x DENZA D9 X Leopard 5
ภายในงานนี้ค่ายรถ BYD ขนรถใหม่ส่งตรงจากจีนทีเดียว 7 รุ่น เริ่มที่ BYD SEAL U เอสยูวีแบบ PHEV ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า 197 แรงม้า แรงบิด 325 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้ารวมถึง 311 แรงม้า
มีสองทางเลือกเริ่มที่รุ่น DM-i 110 จากแบตเตอรี่ขนาด 18.3 kWh วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 110 กิโลเมตรต่อการชาร์จตามมาตรฐาน NEDC และรุ่น DM-i 150 แบตเตอรี่ขนาด 26.6 kWh วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จตามมาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 3.3 และ 7 kW และการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 18 kW และวิ่งไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จและการเติมน้ำมันเพียงหนึ่งครั้ง
และแบบไฟฟ้าล้วน มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมแบตเตอรี่แบบ lithium iron phosphate (LFP) เริ่มที่รุ่น Standard Range มีความจุแบตเตอรี่ขนาด 71.8 kWh กำลังสูงสุด 204 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดระดับ 310 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 420 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) รองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging) 30-80% ภายในเวลา 28 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 114 kW และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% ได้ 8 ชั่วโมง
รุ่น Extended Range มีความจุแบตเตอรี่ขนาด 87 kWh กำลังสูงสุด 218 แรงม้า กับ แรงบิดสูงสุดระดับ 330 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) รองรับการชาร์จเร็ว (DC fast charging) 30-80% ภายในเวลา 29 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 140 kW และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% ได้ 8 ชั่วโมง รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW
มากันที่ BYD SEA LION จากตระกูล Ocean ตัวรถดีไซน์โดย Wolfgang Egger หัวหน้าฝ่ายออกแบบค่ายที่เคยฝากผลงานในอดีตกับค่าย AUDI โดยได้แรงบันดาลใจจากต้นแบบ BYD Ocean X พร้อมขุมพลังไฟฟ้าประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แบตเตอรี่แบบ lithium iron phosphate (LFP) Blade Battery เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถเรียกว่า Cell To Body หรือ CTB
มีด้วยกันสามรุ่นย่อยตั้งแต่รุ่น Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง RWD พร้อมความจุแบตเตอรี่ 80.640 kWh ให้กำลังสูงสุด 231 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุด 610 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ขยับมาที่รุ่น Extended Range ยังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังความจุแบตเตอรี่ 80.640 kW ให้กำลังมากถึง 313 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุด 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC
และรุ่นท็อป AWD Performance ขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ พร้อมความจุแบตเตอรี่ 71.808 kWh ให้กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า จากมอเตอร์คู่หน้าให้กำลัง 218 แรงม้า และมอเตอร์คู่หลัง 313 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุด 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ส่วนระยะเวลาการชาร์จทั้งแบบกระแสตรง DC กับ กระแสสลับ AC ยังไม่มีการเปิดเผย
น้องนางนาวลอย่าง BYD Seagull ก็มาโชว์ที่ไทยเช่นกันแต่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Dolphin MINI สร้างจากแพลตฟอร์ม e-platform 3.0
ขุมพลังไฟฟ้านั้นให้กำลังมากสุด 74 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่น TZ180XSH แถมให้ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความจุแบตเตอรี่ถึง 2 รูปแบบทั้ง 30.08 kWh และ 38.88 kWh โดยวิ่งไกลสุด 305 และ 405 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC โดยชาร์จเร็ว DC 10-80% ในเวลา 30 นาที และเป็นการใช้แบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน ที่ต้นทุนถูกกว่าแบตนิเกิล-เมทัลไฮไดรด์ และแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนฟอสเฟต
และยังมีรุ่นอื่นๆมาโชว์ทั้ง BYD Song MAX YANGWANG U9 DENZA D9 และ Leopard 5 หรือ Fang Cheng Bao BAO5 ที่จะมาสร้างสีสันให้กับบูธ BYD พร้อม BYD ATTO3 2024
CHANGAN : AVATR x LUMIN
ปีนี้เปิดตัวแบรนด์ลูกแบรนด์ที่สองกับ AVATR ประเดิมด้วย AVATR 11 เอสยูวีรูปทรงแบบท้ายลาด Coupe เสมือนเป็นการนำเอกลักษณ์สร้างความโดดเด่น พร้อมระบบเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ AC induction/asynchronous, Permanent magnet และชุดแบตเตอรี่แบบ Ternary Lithium Battery มีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวและขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่เริ่มที่รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังมีสองแบบดังนี้ รุ่น Standard Range จากความจุแบตเตอรี่ 90.38 kWh ให้กำลัง 313 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 600-630 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.6 วินาที ชาร์จกระแสตรง DC กำลังสูงสุด 240 kW 0-80% ภายในเวลา 25 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 15 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 10.5 ชั่วโมง
รุ่น Extended Range จากความจุแบตเตอรี่ 116.79 kWh ให้กำลัง 313 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 705-730 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.9 วินาที ชาร์จกระแสตรง DC กำลังสูงสุด 240 kW 0-80% ภายในเวลา 45 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 25 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 13.5 ชั่วโมง
รุ่น Standard Range ขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ จากความจุแบตเตอรี่ 90.38 kWh ให้กำลังรวม 578 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร จากมอเตอร์คู่หน้ากำลัง 265 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร และมอเตอร์คู่หลัง 313 แรงบิด 370 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 555-580 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.98 วินาที ชาร์จกระแสตรง DC กำลังสูงสุด 240 kW 0-80% ภายในเวลา 25 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 15 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 10.5 ชั่วโมง
รุ่น Extended Range ขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ จากความจุแบตเตอรี่ 116.79 kWh ให้กำลังรวม 578 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร จากมอเตอร์คู่หน้ากำลัง 265 แรงม้า แรงบิด 280 นิวตันเมตร และมอเตอร์คู่หลัง 313 แรงบิด 370 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 680-700 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.5 วินาที ชาร์จกระแสตรง DC กำลังสูงสุด 240 kW 0-80% ภายในเวลา 45 นาที และ 30-80% ภายในเวลา 25 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% กำลังไฟสูงสุด 11 kW น้อยกว่า 13.5 ชั่วโมง
อีกรุ่นที่อยากให้มากับ AVATR 12 เก๋งดีไซน์เหมือนรถยุโรปออกแบบโดย Nadar Faghihzadeh หัวหน้าฝ่ายออกแบบที่เคยทำงานกับค่าย BMW ขุมพลังแบบไฟฟ้าล้วนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous motors จาก Huawei และแบตเตอรี่ ternary (NMC) จาก CATL เริ่มที่รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังมีความจุ 90.4 kWh ให้กำลังสูงสุด 317 แรงม้า วิ่งไกลสุด 676 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มาตรฐาน CLTC และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังรวม 586 แรงม้าจากความจุแบตเตอรี่ 116.8 kWh วิ่งไกลสุด 555 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มาตรฐาน CLTC พร้อม มี LIDAR RADER SENSOR กล้องรอบคัน ระบบช่วยขับ ระดับไฮเอนด์ ADS 2.0 จาก Huawei เข้ามาเสริมทัพ
และ LUMIN ซิตี้คาร์ทรงปุ๊กปิ๊กที่วิ่งทดสอบแล้วที่เมืองไทยก็จะมาโชว์ด้วย เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมแบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate เลือกได้ สองรูปแบบความแรงตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นให้กำลังสูงสุด 41 แรงม้า ตั้งแต่ขนาดความจุ 12.92 kWh วิ่งไกลสุด 155 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC ชาร์จกระแสสลับ AC อย่างเดียว ภายในเวลา 7.5 ชั่วโมง ขยับขึ้นมาอีกกับรุ่นกับความจุ 17.65 kWh วิ่งไกลสุด 210 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC ชาร์จกระแสสลับ AC ภายในเวลา 9.8 ชั่วโมง
ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปสุดให้กำลังสูงสุด 48 แรงม้ามีสองทางเลือกตั้งแต่รุ่นความจุ 17.65 kWh วิ่งไกลสุด 205 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC ชาร์จกระแสสลับ AC ภายในเวลา 6.5 ชั่วโมง และชาร์จกระแสตรง DC 30-80% ภายในเวลา 35 นาทีและรุ่นที่มีความจุแบตเตอรี่ 27.99 kWh วิ่งไกลสุด 301 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน CLTC ชาร์จกระแสสลับ AC ภายในเวลา 9.5 ชั่วโมง ทุกความความแรงให้ความเร็วสูงสุด 101 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 6.5 วินาที
Ford : Ford Everest Platinum V6 x Ford Ranger WILDTRAK V6
ด้าน Ford Everest และ Ford Ranger ที่ลือๆกันว่าจะมีเครื่องดีเซล V6 เข้ามานั้นเป็นความจริงในราคา 2,279,000 บาท เปิดตัวพร้อมกับ Ford Ranger Wildtrak V6 ในราคา 1,519,000 บาท กับขุมพลังดีเซลเทอร์โบ V6 เทอร์โบเดี่ยวในตระกูล Lion 3.0 ลิตร Power Stroke 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 e-Shifter ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System 6 โหมด
GWM : GWM POER SAHAR
รถรุ่นแรกของค่าย GWM ที่ต้องการร่วมชิงเค้กก้อนที่ใหญ่สุดในไทยกับตลาดรถกระบะด้วยการส่ง GWM POER SAHAR กระบะเจ้าแรกในไทยที่แหวกแนวลบภาพเดิมๆของกระบะด้วยการใส่ขุมพลังไฮบริด เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร รหัส E20NA ให้กำลังรวม 244 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 380 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,000 รอบต่อนาที กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ความจุ 1.76 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมมากถึง 350 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 648 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ DHT 9 สปีด เจ้าเดียวโดยจะเปิดตัวและราคาที่งาน มาดูกันว่าจะได้รับการตอบรับจากสิงห์รถกระบะมากน้อยแค่ไหนติดตามกันที่งาน
Honda : Honda e:N1
ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นค่ายแรกของไทยที่เปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั่นคือ Honda e:N1 ยนตรกรรมเอสยูวีพลังงานไฟฟ้านำพื้นฐานมาจาก Honda HR-V แปลงกายเป็นไฟฟ้าล้วนจากแพลตฟอร์ม e:N Architecture F พร้อมขุมพลังไฟฟ้าล้วนยกชุดมาจาก Honda e:NY1 หรือ Honda e:NS1
ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึงสามตัวและแบตเตอรี่ lithium มีความจุ 68.8 kWh 204 แรงม้าที่ 4,621-5,000 รอบต่อนาที แรงบิด 310 นิวตันเมตรที่ 0-4,621 รอบต่อนาที วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมากกว่า 412 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ขับเคลื่อนล้อหน้าให้ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ภายใน 7.6 วินาที ชาร์จได้สองรูปแบบทั้งชาร์จกระแสตรง DC CCS2 กำลังสูงสุด 78 kW 0-80% ภายใน 46 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC Type 2 กำลังสูงสุด 11 kW 10-80% ภายในเวลา 6.45 ชั่วโมงและระบบความปลอดภัย Honda SENSING
ผลิตในไทย ณ โรงงานฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี เตรียมเปิดตัวและช่องทางจำหน่ายให้ทราบอีกครั้งช่วงไตรมาสแรกในปีนี้ ค่าตัวคาดเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท
Hyundai : IONIQ 6 x IONIQ 5 Nทำตลาดเต็มตัวภายใต้ ฮุนได โมบลิลิตี้ ประเทศไทย พร้อมรุ่นใหม่ๆมาทำตลาดครบครันงานนี้อาจนำ IONIQ 6 มาขายจริงจัง ขุมพลังไฟฟ้ามีให้เลือกด้วยความจุแบตเตอรี่เดียวกัน 77.4 kWh มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว permanent magnet synchronous รุ่น EM07 228 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7.4 วินาที และ 80-120กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 614 กม. ตามมาตรฐาน WLTP
และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ permanent magnet synchronous ขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD รุ่น EM17 โดยมอเตอร์ด้านหน้าให้กำลัง 100 แรงม้า แรงบิด 255 นิวตันเมตร และมอเตอร์ด้านหลัง EM07 225 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 325 แรงม้า แรงบิด 605 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 5.1 วินาที และ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 3.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 519 กม. ตามมาตรฐาน WLTP
รองรับการชาร์จเร็วกระแสตรง DC ให้กำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 350 kW 0-80% ชาร์จได้นาน 18 นาที และให้กำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 50 kW 0-80% ชาร์จได้นาน 73 นาที และ AC กระแสสลับ ให้กำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 10.5 kW ชาร์จได้นาน 11.45 ชั่วโมง และยังสามารถจ่ายกระแสไฟ V2L กำลังไฟสูงสุด 3.6 kW
และอาจนำ IONIQ 5 N เข้ามาจำหน่ายในไทยด้วยภายนอกมาพร้อมชุดแต่ง N รอบคัน แบบสีดำขลิบสีแดง มาพร้อมพลังอีวีมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าให้กำลัง 226 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 383 แรงม้า โดยให้กำลังรวม 609 แรงม้า แรงบิด 740 นิวตันเมตร และเพิ่มพลังโหดเข้าไปถึง 650 แรงม้า แรงบิด 770 นิวตันเมตร ถ้าเปิดใช้โหมด N Grin Boost ส่งผลให้มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที ก่อนทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมความจุแบตเตอรี่ 84 kWh ด้วยกำลังการชาร์จมากสุด 350 kW สามารถชาร์จเร็ว DC จาก 10-80% ในเวลา 18 นาที ปลุกอารมณ์ซิ่งขับขี่แบบรถขับหลังกับฟังก์ชัน N Drift Optimizer พร้อมฟังก์ชัน Torque Kick Drift
ISUZU : ISUZU D-MAX EURO5 x ISUZU MU-X EURO5
ค่ายปิกอัพอันดับหนึ่งของไทยอย่าง ISUZU เปิดตัวปิกอัพรุ่นปรับโฉมทั้ง ISUZU D-MAX และ ISUZU X-Series ปีนี้เสริมทัพด้วย ISUZU MU-X และ D-MAX เครื่องยนต์ EURO5 ที่คาดว่าเป็นการนำขุมลังเดิมทั้ง 3.0 ลิตร 4JJ3-TCX 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูง 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที E-VGS TURBO เทอร์โบแปรผันปรับไฟฟ้า กับขนาด 1.9 ลิตร RZ4E-TC 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบต่อนาที มาพัฒนาใหม่ให้เข้ากับกฎความเข้มงวดของไอเสียที่เมืองไทยเริ่มใช้ตัั้งแต่ 1 มกราคมนี้ โดยมีการปรับราคาคาดว่าขึ้นจากเดิม 25,000 บาท
JEEP : JEEP Wrangler Rubicon Facelift x JEEP Grand Cherokee 4xe
ทางด้าน JEEP Wrangler Rubicon MY2024 ปรับสีสันใหม่ในร่างเดิม เด่นด้วยกระจังหน้าเจ็ดช่องอันเป็นเอกลักษณ์ ปรับกระจังหน้าให้มีช่องพื้นผิวสีดำ กรอบสีเทาเมทัลลิกละล้อมกรอบสีตัวถัง ดีไซน์กระจังหน้าที่เพรียวบางไม่เพียงแต่ช่วยเสริมรูปลักษณ์ของรถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนด้วย ได้ล้อดีไซน์ใหม่ทั้งหมดห้าแบบให้เลือกขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 255/75 R17 M/T ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/70R18 และ ขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง 275/55R20
พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหม่ Uconnect 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนไร้สายทั้ง Android กับ Apple Car Play พร้อมลำโพง Alpine 9 จุดเบาะนั่งพร้อมความปลอดภัย มาตรฐาน ได้แก่ ระบบ Drowsy Driver Alert, Lane Departure Warning และระบบ Traffic Sign Information กับเบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร 270 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อันเลื่องชื่อของ JEEP แบบ 4×4 Rock-trac®
พร้อมกับ JEEP Grand Cherokee Summit Reserve 4xe สายหรูพลังเสียบปลั๊ก 380 แรงม้า แรงบิด 637 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าถึง 37 กิโลเมตร และวิ่งไกลในโหมดน้ำมันและไฟฟ้ารวมกัน 700 กิโลเมตร ในราคา 5,490,000 บาท เปิดรับจองและส่งมอบตั้งแต่ต้นไตรมาสที่สองของปีนี้
KIA : KIA EV5 x KIA EV9 x KIA Sorento
หลังจากที่บริษัทแม่จากเกาหลีพร้อมบุกตลาดเมืองไทยเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชายคาเดียวกันอย่าง Hyundai ภายใต้ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) หลังจากเปิดตัว KIA EV9 ในราคาเริ่มต้น 3.499 ล้านบาท ภายในงาน จะมีการเปิดตัว เปิดสเปก และอาจเปิดราคาสำหรับ KIA EV5 นำเข้าจากจีน สร้างจากพื้นฐาน Electric Global Modular Platform (E-GMP)
ขุมพลังไฟฟ้ามาพร้อมสองทางเลือกสองความแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เริ่มที่รุ่น Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยความจุแบตเตอรี่แบบ Blade จากทาง BYD 58 kWh ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 530 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC
ส่วนรุ่น Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยความจุแบตเตอรี่ 81 kWh ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 720 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC และรุ่น Long Range AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังมากสุด 306 แรงม้า ด้วยการเพิ่มกำลังของมอเตอร์ล้อคู่หลัง 95 แรงม้า และมอเตอร์คู่หน้า 218 แรงม้า วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 650 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC จากความจุแบตเตอรี่ 81 kWh
ทั้งสามความแรงให้ความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีทั้งแบบกระแสตรง DC ชาร์จเร็ว 30-80% ชาร์จเร็ว 27 นาที ส่วนการชาร์จกระแสสลับ AC ชาร์จช้า รองรับกำลังไฟในการชาร์จ 7 และ 11 kW โดยหัวชาร์จแบบ CCS Type 2 และ AC แบบ Type 2 ยังชาร์จ V2L สามารถต่อกระแสไฟ จากรถยนต์ไปพ่วงใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆได้
LEXUS : LEXUS LBX
เอสยูวีรุ่นเล็กสุดของค่ายสร้างจากพื้นฐาน TNGA-B เดียวกันกับ Toyota Yaris Cross เวอร์ชันยุโรป เบนซิน Dynamic Force Hybrid M15A-FXE 1.5 ลิตร 91 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 120 นิวตันเมตรที่ 3,800-4,800 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า Toyota Hybrid System II (THS II) คู่หน้าแบบ 1NM 80 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตันเมตร กับ 1MM 5.3 แรงม้า แรงบิด 52 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ Lithium-ion 4.3 Ah ให้กำลังรวมถึง 136 แรงม้า แรงบิดรวม 185 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four พร้อมความปลอดภัย Lexus Safety System+ คาดค่าตัวไม่เกิน 2 ล้านบาท
LOTUS : LOTUS EMEYA
เก๋งทรงสปอร์ตที่รู้จักกันในรหัส Type 133 ท้าชนกับ Tesla Model S และ Porsche Taycan Turbo และยังเป็นรถยนต์ลำดับที่สองของค่ายต่อจาก Lotus Carlton เก๋งใหญ่ชื่อดังยุค 90 พื้นฐาน OPEL/Vauxhall Omega หน้าตาคล้ายกับ Lotus Eletre
จากพื้นฐาน Sustainable Experience Architecture (SEA) จาก GEELY ทำให้มีความว่องไวเร้าใจในการขับขี่พร้อมขุมพลังไฟฟ้าอาจยกมาทั้งหมดด้วยความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion 102 kWh ขับเคลื่อนสี่ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanent magnet ให้ความแรงสูงสุด 918 แรงม้า แรงบิด 985 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 256 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 2.78 วินาที ส่วนอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ต่ำกว่า 2 วินาที
วิ่งไกลสุดอาจได้ถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed ที่ล้อหน้าและ Two Speed ที่ล้อหลัง การชาร์จไฟด้วยกำลังไฟแบบกระแสตรง DC สูงสุด 350 KW ชาร์จ 10-80% ในเวลาสั้นๆเพียง 18 นาที สามารถเพิ่มระยะทางวิ่งไกลสุดได้ 150 กิโลเมตร ภายใน 5 นาที และชาร์จแบบกระแสสลับ AC พร้อมช่วงล่างถุงลม
Mazda : Mazda BT-50 Facelift x Mazda 6 x Mazda MX-5 2024
ปีนี้มี Mazda 6 รุ่นพิเศษกับ Mazda MX-5 MY2024 รุ่น เปิดประทุนหลังคาแข็งหรือ RF hard-top ด้วยชุดไฟหน้า Bi-Beam LED ใหม่ที่มีไฟหน้าไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างเวลากลางวันรวมอยู่ในโคมดียวกัน กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต ติดตั้งชุดรับสัญญาณระบบเรดาห์ ควบคุมการทำงานของระบบความปลอดภัยทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC เตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS ชุดไฟท้าย LED ออกแบบใหม่รวมทั้งไฟเลี้ยวไฟเบรกและไฟถอยหลังในโคมเดียวที่ดูหรู มองชัดเจนในเวลากลางคืน ล้ออัลลอยลายใหม่ 8 ก้านคู่ทั้งสีดำเมทาลิคและทูโทนสีดำตัดสีเงิน ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 205/45 R17
พร้อมพลัง SKYACTIV-G 2.0 ลิตร รหัส PE-VPR (RS) 184 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิด 205 นิวตันเมตรที่ 4,000 คู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด SKYACTIV-MTและเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด พร้อม Paddle Shift ระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบอสมมาตรพัฒนาขึ้นใหม่ทำให้มีเสถียรภาพที่ดีขึ้นสำหรับที่มีให้เฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดา ขับเคลื่อนล้อหลัง
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าปรับเซ็ตน้ำหนักใหม่ให้ความรู้สึกตอบสนองรวดเร็ว เพิ่มโหมด DSC-Track สำหรับปิดระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวควบคุมรถด้วยตัวเองไม่พึ่งตัวช่วย พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinemetic Posture Control) ช่วยให้รถทำงานผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถ ช่วงล่างด้านหลังถูกออกแบบเพื่อช่วยป้องกันการยกของตัวรถ (Anti-Lift) ทำการควบคุมแรงเบรกที่ล้อหลังฝั่งด้านในโค้ง ลดอาการโคลงของตัวรถ ทำให้รถมีเสถียรภาพและเข้าโค้งได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมสีใหม่ สีน้ำตาล เซอร์คอน แซนด์ (Zircon Sand) (แทนสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ Polymetal Gray) และการปรับโฉมครั้งแรกของ Mazda BT-50 จะเปิดตัวในงานนี้
Mercedes-Benz : Mercedes-Benz GLC Coupe x Mercedes-Benz GLS Facelift x Mercedes-AMG GLE Facelift x Mercedes-Benz GLE 300d AMG Line x EQS 450+ CKD
ถึงปีนี้ค่ายรถตราดาวจะยังไม่มีการเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class เจนที่ 11 รหัส W214 โดยจะเปิดตัวกลางปีนี้แต่ในงานนี้ยังมีรุ่นใหม่ๆเตรียมเปิดในงานทั้ง Mercedes-Benz GLC Coupe ที่มาทั้งรุ่น 350e 4MATIC และรุ่น 220d 4MATIC เริ่มที่ ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร OM654 M ให้กำลังมากถึง 200 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบ Mild Hybrid สร้างและจ่ายไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าของรถที่ใช้แรงดันไฟฟ้า 48 โวลต์ได้ โดยเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษพร้อม EQ Boost ให้กำลังถึง 20 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร และการปรับโฉมของ Mercedes-Benz GLS 450d 4MATIC AMG Premium การเพิ่มรุ่นย่อยของ Mercedes-Benz GLE กับรุ่น GLE 300d AMG Line และการกลับมาของ EQS 450+ รถอีวีขับหลังประกอบไทยในราคาที่ถูกลง
MG : MG CYBERSTER x MG4 X-Power x MG4 D Facelift x MG MAXUS7
โรสเตอร์สายเลือดยุโรปพกพลังไฟฟ้าที่ให้ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน lithium-ion battery ที่มีความจุแบตเตอรี่ 77 kWh เริ่มที่รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังรวมมากสุด 544 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าให้กำลัง 204 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้าหลังให้กำลัง 340 แรงม้า สามารถวิ่งไกลสุด 800 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาต่ำกว่า 3 วินาทีและมีรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวจากความจุแบตเตอรี่ 64 kWh ให้กำลังรวมมากสุด 314 แรงม้า
โดยได้ MGB Roadster เป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์โดยตัวรถมาในแบบโรสเตอร์เปิดประทุนตั้งแต่ไฟหน้า LED Projector แบบ Laser Belt กระจังหน้าเรียวยาวพร้อมตรา MG ในชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ต ด้านท้ายแบบ Kammback ชุดไฟท้าย LED Red Wing ด้วยเส้นไฟที่เรียวเล็กดูชัดเจนสุดล้ำ ไฟเลี้ยวรูปทรงลูกศรสปอยเลอร์หลังที่ฝังตัวอยู่ในชิ้นเดียวกันลงตัว กันชนหลังเสริมลิ้นสปอยเลอร์หลังสีดำ ประตูรถออกแบบมาเปิดแบบปีกนกหรือ Scissor Doors ล้ออัลลอยลาย Hacker Blade
สำหรับ MG Cyberster เปิดตัวและอาจเปิดราคา ภายในงาน รวมถึง MG4 XPOWER อีวีขับสี่ 435 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 385 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ก็เปิดขายในงานนี้ด้วย รวมถึง MG4 D Facelift ประกอบไทยและการเผยครั้งแรกในไทยและอาเซียนกับ MG MAXUS7
Mitsubishi : Mitsubishi Pajero Sport EURO5
ค่ายทรีไดมอนด์หลังเปิดขายรุ่นย่อยของ Mitsubishi Triton รุ่นท็อป Athlete 204 แรงม้า กับ Mitsubishi XPANDER HEV ครั้งนี้ส่ง Mitsubishi PAJERO SPORT รุ่นเครื่องยนต์ EURO 5 มาด้วยเครื่องใหม่ 2.4 ลิตร 184 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร พร้อมหน้าใหม่ ภายในใหม่เพิ่มราคาจากเดิม 5,000-10,000 บาท
NETA : NETA V-II x NETA X
หลังจากเปิดไลน์ผลิด NETA V-II รุ่นปรับโฉมอย่างเป็นทางการในไทยโดยสเปกและราคาจะเปิดตัวในงาน รวมถึง Global Product รุ่นใหม่อย่าง NETA X โดยมาโชว์เพื่อเปิดรับจองพร้อมขายกลางปีนี้ ด้วยขุมพลังไฟฟ้ามีสองทางเลือกเริ่มที่รุ่น Standard Range ด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 66 kWh จาก CATL ให้กำลังถึง 163 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 9.5 วินาทีโดยชาร์จช้า AC นั้นจาก 20-100% จะใช้เวลาในการชาร์จ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จเร็ว DC 30-80% จะใช้เวลา 30 นาที
ยังมีรุ่น Extended Range 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 610 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) ความเร็วสูงสุด 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยชาร์จช้ากระแสตรง AC จาก 0-100% จะใช้เวลาในการชาร์จ 8.5-13 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30 จนถึง 80% จะใช้เวลา 30 นาที มาพร้อมโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Normal กับ Sport เด่นด้วยฟังก์ชันการปล่อยไฟฟ้าภายนอก V2L (Vehicle to Load) ที่สามารถจ่ายไฟจากตัวรถได้ 3.3 kW (3,300W)
Peugeot : Peugeot 408 x Peugeot E-208 x Peugeot E-2008
Peugeot เตรียมลุยปีมังกรอย่างจริงจังด้วยการแนะนำรถใหม่ออกสู่ตลาด เริ่มจาก Peugeot 408 ที่ขายก่อนเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียจากเดิมจะขายรุ่น GT ในราคา 1,849,000 บาท แล้วยังเพิ่มอีกสองรุ่นย่อยทั้งรุ่น 408 Allure และ 408 Allure Plus กับค่าตัวที่ต่ำกว่ารุ่น GT คาดเริ่มต้นที่ 1,400,000-1,600,000 บาท ด้วยขุมพลังเบนซินเทอร์โบล้วน PURETECH 218 EAT8 รหัส EP6FDT ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า 5,750 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,900 รอบต่อนาที คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด e-EAT8 ขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง Eco, Normal, Sport
นอกจากนี้ยังมีการระบุว่าปีนี้จะมีสองรุ่นใหม่ถึงแม้ยังไม่มีการเปิดเผยจากผู้บริหารแต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ภายในปีนี้คาดว่าเป็น Peugeot E-208 เจนที่สอง พลังแรง 156 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร ความจุแบตเพิ่มขึ้นเป็น 51 kWh (48.1 kWh ที่สามารถใช้งานได้) เพิ่มระยะทางไกลสุดเป็น 400 กิโลเมตรต่อชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือกถึงสี่โหมดทั้งโหมด Eco, Normal, Sport และ Brake
โดยโหมด Brake จะทำงานคล้าย One Padel ที่สามารถเพิ่ม Regeneration ชาร์จแบตกลับได้ สามารถชาร์จเร็ว DC 20-80% ภายใน 25 นาทีเท่าๆกับ Peugeot e-308 โดยเครื่องชาร์จ DC รองรับกำลังไฟสูงสุด 100 kW ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเร็วขึ้นกว่าเดิม 7 วินาที มีเครื่องชาร์จขนาด 7.4 kW เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
และอีกรุ่นที่เคยนำเข้าจากฝรั่งเศสกับค่าตัวสูงลิ่ว 2,490,000 บาทจนยกเลิกขายไปพร้อมกับ Peugeot 408 PHEV นั่นคือ Peugeot e-2008 คราวนี้นำเข้าจากมาเลเซีย(เริ่มประกอบภายในปีนี้) อัปพลังเพิ่มเป็น 156 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 300-3,674 รอบต่อนาที จากความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 54 kWh (47.7 kWh ที่สามารถใช้งานได้) วิ่งไกลสุด 402 กิโลเมตรต่อชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 1-speed direct-drive
พร้อมชาร์จกระแสตรง DC 20-80% รองรับการชาร์จสูงสุด 100 kW ใช้เวลาการชาร์จ 30 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 0-100% รองรับการชาร์จสูงสุด 3.2 kW 11.32 ชั่วโมง และ AC Wall Box 7.4 kW ได้ 4.10 ชั่วโมง (จากเดิมเป็นแบตเตอรี่ขนาด 50 kWh 136 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 300-3,674 รอบต่อนาที วิ่งได้ไกลราว 345 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐานของ WLTP) ถ้ามาจริงอาจได้เห็นค่าตัวที่ต่ำกว่าเดิม
Suzuki : XL7 Hybrid
เอ็มพีวียกสูงขับเคลื่อนเร้าใจในการใช้งานประจำวันและต่างจังหวัดดอย่างสนุกสนานด้วยพลังเบนซิน Mild Hybrid 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ก้อนเล็กสุด Lithium lon 10Ah 12V จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก Integrated Starter Generator (ISG) ที่ช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์ถึง 3 แรงม้า แรงบิด 50 นิวตันเมตร ภายใต้ระบบไฮบริด SVHS (Suzuki Hybrid Vehicle System)
ที่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ISG (Integrates Starter Generator) เป็นทั้งไดชาร์จและไดสตาร์ทในตัวทำงานในส่วนต่างๆเพื่อเก็บพลังงานที่เหลือจากการขับขี่มาใช้งานเช่นขณะถอนคันเร่งหรือเบรก มาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้ากักเก็บไว้ใช้งานในแบตเตอรี่และเครื่องยนต์หยุดการทำงานรวมถึงตอนออกตัว ส่วนการขับขี่ปกติและเร่งแซงเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน
มีระบบเพิ่มแรงบิดชั่วคราวเพื่อให้ความมั่นใจในการแซง หรือ Torque Assisted Function ตอบสนองสมรรถนะการขับขี่ ช่วยในการเร่งแซงโดยทำงานร่วมกันทั้งแบตและมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์ทำงาน จะเปิดตัวและราคาในงานนี้ รวมถึงรุ่นยอดนิยมอย่าง Suzuki CIAZ ที่ปรับราคาลงจากเดิม 150,000 บาท และ XL7 เครื่องเบนซินปรับลงจากเดิม 80,000 บาท รวมถึงต้นแบบส่งตรงจากญี่ปุ่นและการเปิดรับจอง Suzuki JIMNY ล็อตที่สามครั้งนี้มา 99 คัน
Toyota : Toyota Hilux REVO GR Sport x Toyota Majesty
อภิมหาที่สุดกระบะจอมโหดอย่าง Toyota Hilux REVO GR Sport ที่งานนี้อัปเกรดตัวเองให้กลายเป็นปีศาจร้ายทางเรียบ หรือ Performance Pickup ฟาดฟันกับ Ford Ranger Raptor ดีเซล 2.0 ลิตร ด้วยพลังดีเซล 2.8 ลิตร 224 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร พร้อมตัวรถที่ปรับบุคลิกให้ดิบขึ้น มีการขยายในทุกส่วนเมื่อเทียบกันพบว่าความยาวตัวรถลดลง 5 มิลลิเมตร ความกว้างมากขึ้น 120 มิลลิเมตร สูงขึ้นจากเดิม 15 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้ากว้างกว่าเดิม 140 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลังกว้างกว่าเดิม 155 มิลลิเมตร โช้คแอพซอพเบอร์แบบโมโนทูบ
รวมถึง Toyota Hilux REVO รุ่นปรับโฉมหน้าใหม่แบบเดียวกับออสเตรเลียและการกลับมาของ Toyota Majesty รถตู้หรูที่กลับมาเปิดตำนานใหม่ด้วยเบาะนั่งปรับใหม่และเครื่องยนต์ดีเซลผ่าน EURO 5
VINFAST
หลังจากโชว์ตัวในไทยแบบเงียบๆเพื่อเป็นการรู้จักยานยนต์แดนเหงียนนั่นก็คือ VINFAST ครั้งนี้ก็นำรุ่นใหม่มาโชว์ในงานและในอนาคต VINFAST เตรียมที่จะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาในกลุ่มอาเซียนนับเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การตลาดระดับภูมิภาคของ VINFAST ในการพัฒนายานยนต์ต่อสายตาชาวโลก นอกจากนี้ยังแสวงหาพันธมิตรรายใหม่ในกลุ่มอาเซียนที่สนใจเพื่อขยายตลาดและส่งเสริมโซลูชั่นที่ยั่งยืน น่าจับตาแล้วว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ VINFAST สนใจจะมาลงทุนขายหรือไม่ต้องติดตาม
Volvo : Volvo EX90
หลังเผยโฉมแบบ Sneak Preview ที่งาน Motor Expo 2022 และต้องเลื่อนเปิดตัวไปในปี 2023 ปีนี้เตรียมมาไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้ และลุ้นว่า Volvo EX90 เอสยูวีไฟฟ้า ตัวรถสร้างจากแพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA2) ดีไซน์ล้ำหน้ากว่ารุ่นอื่นๆของ Volvo ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.29 ขุมพลังไฟฟ้าล้วนแบบมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ให้ความจุแบต lithium-ion ขนาดใหญ่ 111 kWh แรงสุด 408 แรงม้า แรงบิด 770 นิวตันเมตร และมีรุ่นแรง Performance 517 แรงม้า แรงบิด 910 นิวตันเมตร
วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 600 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 4.9 วินาที สามารถชาร์จกระแสตรง DC 10-80 % ภายใน 30 นาที รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 250 kW และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูงสุด 11 kW พร้อมระบบ LiDAR หรือ Light Detection and Ranging ระบบตรวจจับวัดระยะทางของวัตถุและคนเดิน
ใช้แสงเลเซอร์ไปกระทบกับวัตถุแล้วคำนวณระยะทางด้วยระยะเวลาทำงานได้เร็ว ประกอบด้วย รวมถึงกล้องแปดตัว เรดาร์ 5 ตัว เซนเซอร์อัลตราโซนิก 16 ตัว และเซนเซอร์ของระบบ LiDAR ตรวจจับคนเดินถนนด้วยระยะไกลสูงสุด 250 เมตร มาโชว์ก่อนขายจริงหรือไม่ต้องติดตาม และยังมี Volvo EX30 สีใหม่เข้ามาขายด้วย
XPENG : XPENG X9
ค่ายรถแดนมังกรน้องใหม่ภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัทร่วมทุนอย่าง MGC-ASIA กับ อรุณพลัส ในนามบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด อาจนำ XPENG X9 ลักชัวรีเอ็มพีวีหรูมาโชว์ด้วยตัวรถที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.227 สร้างจากแพลตฟอร์ม SEPA 2.0 platform ตัวถังอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ไฮไลท์เด็ดกับภายใน 7 ที่นั่ง ที่มีเบาะนั่งแถวที่ 2 ที่สามารถปรับเอนได้ทั้งพนักพิงและที่พักเท้า ออกแบบให้เข้ากับรูปร่างของชาวจีนละชาวเอเชีย เพื่อความสบายยิ่งขึ้น
ผู้โดยสารแถวที่ 2 สามารถผ่อนคลายขณะชมรายการบันเทิงบนจอทีวีติดเพดานขนาดใหญ่ 21.4 นิ้ว หากต้องการอะไรดับกระหาย ก็มี “ตู้เย็น” ในตัวพร้อมการตั้งค่าอุณหภูมิระหว่าง 0-50° C พร้อมระบบฟอกอากาศที่ทำให้หายใจได้อย่างสะดวก เครื่องปรับอากาศ เบาะนั่งแถวที่ 2 ยังติดตั้งบนแถบเลื่อนไฟฟ้า ในขณะที่แถวที่ 3 พับราบเพื่อให้เห็นพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 2,554 ลิตร
มีระบบเลี้ยวล้อหลังและระบบกันสะเทือนแบบถุงลมมาตรฐานพร้อมระบบส่งกำลังที่แตกต่างถึงสองเวอร์ชันเริ่มที่มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าให้กำลังถึง 320 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร จากความจุแบตเตอรี่ lithium iron phosphate (LFP) 84.5 และ 101.5 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ได้ 610 และ 702 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.7 วินาที
รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อกับความจุแบตเตอรี่ NMC 101.5 kWh ให้กำลังรวมถึง 503 แรงม้า แรงงบิด 640 นิวตันเมตรจากมอเตอร์คู่หน้า 320 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร และมอเตอร์คู่หลัง 184 แรงม้า แรงบิด 190 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC ได้ 640 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.7 วินาที และชาร์จเร็ว DC 10 นาที วิ่งได้ไกลอีก 300 กิโลเมตรและความปลอดภัยเต็มคันด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS และยังมีรุ่นอื่นๆมาโชว์ด้วยเช่นกัน และจะจัดจำหน่ายภายในไตรมาสที่สองปีนี้
ZEEKR : ZEEKR X x ZEEKR 009
อีกหนึ่งแบรนด์รถจีนในเครือ GEELY กับ ZEEKR ที่ได้มาทำตลาดในไทยเต็มตัว รวมถึงได้เมกะดีลเลอร์รายใหญ่อย่างกลุ่มร่วมทุนอย่าง MGC-ASIA กับ อรุณพลัส ในนามบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งปีนี้ประเดิมด้วย ZEEKR X เอสยูวีตัวเล็กสร้างจากแพลตฟอร์ม SEA หรือ Sustainable Experience Architecture Platform แบบ SEA-E ออกแบบที่เมืองโกเธนเบิร์ก สวีเดน โดยดีไซน์เนอร์ Stefan Sielaff หน้าตาเท่เดียวกันกับ ZEEKR 001
แรงด้วยพลังไฟฟ้าจากความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ nickel-cobalt-manganese 66 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังให้กำลังถึง 272 แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตรวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จทำได้ 440 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 5.6 วินาที
และรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังถึง 428 แรงม้า แรงบิด 543 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จทำได้ 400 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาทีทั้งคู่ชาร์จได้สองรูปแบบทั้ง DC กระแสตรง รองรับกำลังการชาร์จ 150 kW ภายใน 28 นาที เพิ่มระยะทาง 530 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในรุ่น RWD และ 510 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในรุ่น AWD และชาร์จกระแสสลับ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 22 kW ภายใน 3.30 ชั่วโมง
และ ZEEKR 009 เอ็มพีวีหรูไฟฟ้าสร้างจากแพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Platform)พกขุมพลังไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อให้กำลังถึง 544 แรงม้า แรงบิด 686 นิวตันเมตร มีด้วยกันถึงสองทางเลือก
เริ่มที่รุ่น WE Edition มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ Lithium Nickel Manganese Cobalt Pack จาก CATL ขนาด 116 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 702 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC และรุ่นท็อปสุด ME Edition มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ Lithium Qilin battery pack จาก CATL ขนาด 140 วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จ 822 กิโลเมตรตามมาตรฐาน CLTC
ทั้งคู่สามารถชาร์จกระแสตรง DC ระดับ 10-80% ภายในเวลา 28 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC โดยให้อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาพร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ และโช้คถุงลม Air Suspension สามารถลดความสูงของตัวรถได้ และความปลอดภัย ADAS พร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติ ที่มีกล้องเจ็ดตัว กล้องมองรอบทิศทางสี่ตัว เรดาร์อัลตราโซนิกระยะใกล้ 12 ตัว และเรดาร์คลื่นพิสัยไกลหนึ่งตัวที่สแกนบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง
สำหรับงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 หรือ Bangkok Motor Show 2024 จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-7 เมษายน ดยเปิดให้เข้าชมงานเวลาตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น. ในวันธรรมดา และเวลา 11:00 -22.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ราคาบัตรเข้าชมงาน 100 บาท แฟนๆที่รักและหลงเสน่ห์โลกยานยนต์ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง