More

    Bentley Continental GT Speed เจนใหม่พลังไฮบริด 782 ม้า ขายไทย 26.9 ล้าน

    เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เผยโฉม Bentley Continental GT Speed เจน 4 เปิดตัวครั้งใหญ่ในรอบ 6 ปีหลังเปิดตัวเจนที่ 3 ครั้งแรกกับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

    Bentley

    สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่กำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานสมรรถนะระดับซุปเปอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับงานฝีมือ และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับภายนอกใหม่ปฏิวัติการออกแบบอัครยนตรกรรมในอนาคตด้วยผลิถือเป็นอัครยนตรกรรมรุ่นเรือธงรุ่นแรกที่มีไฟหน้า LED แบบคิ้วแนวนอนใหม่ แบบเมทริกซ์ประกอบไปด้วยไฟ LED แยกกันจำนวนกว่า 120 ดวงที่ได้รับการควบคุมแบบดิจิทัลสำหรับไฟต่ำไปจนถึงการเพิ่มกำลังไฟสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟโดยที่ลำแสงหลักจะขยายขอบเขตการส่องสว่างให้กว้างมากยิ่งขึ้น พร้อมกับฝากระโปรงหน้าแบบทอดยาวตลอดแนวหลังคาที่จะสร้างเส้นแนวนอนที่แข็งแกร่งผ่านตัวรถ บ่งบอกถึงเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงและความเร็วที่แท้จริง

    Bentley

    ด้านท้ายตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้ายออกแบบใหม่ด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง ขอบไฟยื่นออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ พร้อมกับภายในโคมตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง โดยเมื่อส่องสว่าง ส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิกเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ในขณะที่ตัวรถยังดูสะอาดตาและมีการตกแต่งที่น้อยลง

    ล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้วใหม่มีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแรงบันดาลใจจากเสือ โดยมี ‘กรงเล็บ’ ของล้ออัลลอยด์ที่จะสัมผัสไปตามพื้นถนน รูปแบบล้ออัลลอยด์แบบใหม่มีให้เลือกทั้งในโทนเฉดสีเข้มแบบมัน-เงา เฉดสีดำเงา หรือเฉดสีเงิน และในรุ่น Continental GTC มีตัวเลือกสำหรับเฉดสีภายนอกของหลังคาผ้าใบถึง 7 เฉดสีที่รวมถึงผ้าทวีด สามารถเปิดประทุนได้ภายในระยะเวลา 19 วินาทีในขณะที่รถยนต์วิ่งด้วยความเร็งสูงสุด 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถสมสวนทุกมิติตั้งแต่ความยาว 4,895 มิลลิเมตร ความกว้าง 2,187 มิลลิเมตร ความสูง 1,397 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,851 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,459 กิโลกรัม และความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร

    Bentleyภายในตกแต่งด้วยลวดลายการควิลท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นแบบร่วมสมัยบริเวณเบาะโดยสารและประตูห้องโดยสาร และด้วยการแกะสลักงานควิลท์ การปรุสีซีด และการปักควิลท์แบบใหม่ บรรยากาศภายห้องโดยสารจึงเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของรังไหมให้ทุกการเดินทางพิเศษกว่าที่เคย ห้องโดยสารแบบ 4 ที่นั่ง โดยเบาะโดยสารแบบปรับได้ 20 ทิศทางให้ความสะดวกสบายและความประณีต ซึ่งเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพที่มาพร้อมกับระบบปรับท่าทางและระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติสำหรับเบาะโดยสารคู่หน้านี้จะช่วยลดความเมื่อยล้าและมอบความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง ตกแต่งแบบ Dark Chrome จะมอบความสวยงามที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น และทำให้ห้องโดยสารดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตกแต่งในบริเวณมือจับประตู สวิตช์ หน้ากากของลำโพง และพื้นที่บริเวณโดยรอบห้องโดยสาร

    ระบบเสียงมีให้เลือก 3 แบบด้วยกันกับระบบเสียงมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 10 ตัว ขนาด 650 วัตต์ และระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 16 ตัว ขนาด 1,500 วัตต์ ตกแต่งด้วยหน้ากากลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแนวไลฟ์สไตล์ และปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก Naim ขนาด 2,200 วัตต์ พร้อมด้วยลำโพงจำนวน 18 ตัว และเครื่องแปลงความถี่เสียง Active Bass Transducers ที่ติดตั้งอยู่ภายในเบาะโดยสารคู่หน้าและโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กระจกกันเสียงแบบลามิเนตยังติดตั้งสำหรับกระจกบังลมและหน้าต่างด้านข้างเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งสามารถลดลงได้ 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระจกแบบธรรมดา

    Bentleyพร้อมจอแสดงผล 3 ด้านที่ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดอนาล็อกสุดคลาสสิก 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ที่งดงาม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว จอสัมผัสรองรับ Apple CarPlay, Android Auto และการอัปเดตแผนที่แบบ Over-the-air ทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่ออื่นและแอป My Bentley App Studio เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ต่อเข้ากับระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสารได้อย่างราบรื่น และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในขณะขับรถ ซึ่งรายการแอปพลิเคชันจะได้รับการปรับให้เหมาะสม

    ระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ยังตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟกต์แบบรังไหม โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี  และเฉดสีภายในห้องโดยสารจะถูกเพิ่มเข้าไปในชุดสีเดิมที่หลากหลายอยู่แล้วโดย เฉดสีที่โดดเด่นรวมถึงหนังเฉดสีเทา Gravity Grey ใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับเฉดสีภายนอกแบบเมทัลลิกสุดลึกล้ำที่ดูแข็งแกร่ง พร้อมเผยให้เห็นเฉดสีทองแดงแบบเมทัลลิกเมื่อกระทบกับแสงแดด และเฉดสีเขียว Tourmaline Green ซึ่งเป็นการตีความสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ที่สดใสและร่วมสมัย ทั้งยังเป็นการเผยความโดดเด่นของเบนท์ลีย์ยุคใหม่

    Bentleyขุมพลังใหม่ Ultra Performance Hybrid ใหม่ กับเบนซิน V8 ปลั๊กอินไฮบริดขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลังในภาคเครื่องยนต์596 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 190 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 25.9 kWh เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังรวมสูงสุด 782 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และความเร็วของเครื่องยนต์สูงสุดที่ 335 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในโหมดไฟฟ้าล้วน วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าล้วนกว่า 81 กิโลเมตร (WLTP) ชาร์จ 1 ครั้งและน้ำมัน 1 ถัง วิ่งไกล 859 กิโลเมตร ตอกย้ำความเป็นซุปเปอร์คาร์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบกระแสตรง AC เต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยการพัฒนาขั้นสูงของเครื่องชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 kW ถูกส่งผ่านระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีดและเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) ไปยังล้อทั้ง 4 เพื่อการจ่ายกำลังที่ยอดเยี่ยมและการยึดเกาะถนนที่มั่นคงที่สุดในทุกสภาพถนนควบคุมการไหลของพลังงานตามโหมดที่เลือก สำหรับโหมดไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มพลังงานไฟฟ้า การเบรกแบบจ่ายพลังงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดมี โหมดชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อและชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน

    Bentleyแชสซีใหม่ด้วยถุงลมคู่ใหม่ที่จับคู่กับแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วย Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์) พร้อมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ที่น่าทึ่งและความสบายในการขับขี่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอันเป็นผลลัพธ์มาจากการถ่ายเทน้ำหนักของรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 49:51 ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ พร้อม Bentley Performance Active Chassis ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการโคลงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ หรือ Bentley Dynamic Ride และซอฟต์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งระบบแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่และถุงลมคู่ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ที่ผสมผสานสมรรถนะ ประสิทธิภาพในการควบคุม และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประทับใจ

    ส่วนรุ่น Continental GTC Speed แกรนด์ทัวเรอร์แบบเปิดประทุนด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาที โดยความเร็วสูงสุดจะถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    BentleyBentley Continental GT และ Continental GTC จะถูกประกอบขึ้นด้วยช่างฝีมือทั้งหมด ณ Bentley’s Dream Factory เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ จะเริ่มต้นสายการผลิตและการส่งมอบภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

    สำหรับเมืองไทยทาง เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบขอเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี ในราคาดังนี้

    • รุ่น Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26,900,000 บาท
    • รุ่น Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 29,500,000 บาท

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts