ทุก ๆ คนล้วนแต่ชอบทัศนคติหรือสถานการณ์ที่เป็นบวก แต่ในโลกของ Formula 1 นั้นโหดร้ายและมักจะมีเรื่องให้น่าผิดหวังอยู่เสมอ และนี่คือ “5 อันดับสิ่งที่น่าผิดหวัง ในครึ่งฤดูกาลแรกของ F1 2022”
- มีแค่ 2 ทีมเท่านั้นที่คว้าชัยชนะในตอนนี้
ใช่ครับ… ถึงจะไม่น่าแปลกใจเสียเท่าไร แต่นั่นก็ถือว่าน่าผิดหวังที่ยังคงมีเพียง 2 ทีม คือ Ferrari และ Red Bull เท่านั้นที่คว้าชัยชนะได้ในปีนี้ ทั้ง ๆ ที่มีการใช้กฎใหม่ที่ตั้งเป้าช่วยให้การแข่งขันนั้นสูสีขึ้น
สำหรับกฎด้านเทคนิคใหม่ในปี 2022 นั้น เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีเลยก็ว่าได้ ตัวรถมีการเปลี่ยนมาใช้แพ็กเกจแอโรที่ต้องพึ่งพา Ground Effect ทำให้ไม่เกิดอากาศปั่นป่วนจากปีกต่าง ๆ บนรถไปด้านหลังรถมากนัก ซึ่งช่วยให้รถแข่งสามารถไล่บี้กันได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการจำกัดงบประมาณการทำทีม ทำให้ทีมแข่งขนาดเล็กมีโอกาสที่จะขึ้นมาสู้กับทีมแข่งขนาดใหญ่
ดังนั้นหลายคนจึงอาจจะคาดหวังว่า ในปีนี้น่าจะมีหลายทีมทีเดียวที่สลับกันขึ้นมาอยู่แถวหน้า รวมถึงคว้าชัยชนะ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ก็ยังคงคล้าย ๆ กับปี 2021 ก่อนการเปลี่ยนกฎ Red Bull ยังครอบครองตำแหน่งหัวแถวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยมี Ferrari ขึ้นมาชิงชัยในการอยู่หัวแถว ในขณะที่ Mercedes นั้นหล่นลงไปเล็กน้อย
แล้วถ้าพูดถึงจำนวนชัยชนะล่ะ? Red Bull กดชัยชนะไปได้ถึง 9 ครั้ง ในปีนี้ Ferrari ทำได้ 4 ครั้ง ในขณะที่ทีมอื่น ๆ ที่เหลือยังคงไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ อันที่จริง Ferrari กับ Red Bull อาจจะมีจำนวนชัยชนะที่สูสีกว่านี้ หากค่ายม้าลำพองสีแดงไม่แพ้ภัยตัวเองโดยการวางกลยุทธ์การแข่งขันแปลก ๆ เสียเยอะ
ใน 9 สนามที่เหลือ นอกเหนือจาก Mercedes แล้ว ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีมไหนที่มีศักยภาพมากเพียงพอที่จะขึ้นมาคว้าชัยชนะได้ เราก็ได้แต่หวังว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างที่มอนซ่า 2020 ที่ Pierre Gasly ชนะ หรือฮังการี 2021 ที่ Esteban Ocon ชนะ
- Mercedes
ในที่สุดทีมแข่งแชมป์โลก 8 สมัย ก็เดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าเป็นขาลงจริง ๆ เสียที Mercedes เป็นทีมใหญ่ที่มีบุคลากรอันมีฝีมืออยู่มากมาย และคงจะไม่มีใครคาดคิดว่า ทีมแข่งที่มีทรัพยากรพร้อมสรรพขนาดนี้จะพลาดท่าออกแบบรถมาไม่ดีพอที่จะต่อสู้แย่งชิงอันดับที่หัวแถว
Mercedes ออกแบบตัวแข่ง W13 ของตัวเองอย่างไม่มีการยั้งมือใด ๆ คอนเซปต์ไซด์พอดขนาดศูนย์ของพวกเขาถูกจับตามองเป็นอย่างมาก และมันถูกคาดการณ์ว่าจะเร็วกว่ารถแข่งคันอื่น ๆ เป็นวินาทีเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ทีมเชื่อมั่นกับผลที่แสดงออกมาในอุโมงค์ลมเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันสนามแรกมาถึง ผลที่พวกเขาอ่านได้จากอุโมงค์ลมนั้นก็ไม่ดีพอที่จะส่งให้รถของพวกเขาต่อสู้แย่งชิงอันดับกับหัวแถว มิหนำซ้ำ ในสนามที่ 2 Lewis Hamilton นักแข่งจอมเก๋าฝีมือฟ้าประทานของทีมกลับต้องหลุดจากการควอลิฟายตั้งแต่รอบ Q1 ทุก ๆ คนก็ประหลาดใจมากกับการที่ Mercedes หลุดโผไปถึงขนาดนี้
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่น่าชมเชยในรถคันนี้ก็คือ ความสม่ำเสมอ มันแทบไม่พบปัญหาทางเทคนิคใด ๆ จนทำให้ทีมต้องเสียโอกาสในการเก็บคะแนนไปเช่นเดียวกับทีมอื่น ๆ และมันดีพอจนยังเกาะท้าย Ferrari ในคะแนนสะสมประเภททีมได้อีกด้วย
- Aston Martin
สำหรับทีมที่เจ้าของทีมอย่าง Lawrence Stroll ลงทุนไปเป็นอย่างมาก และตั้งเป้าที่จะขึ้นมาชิงชัยในการคว้าแชมป์โลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฤดูกาลนี้ของ Aston Martin เป็นอะไรที่น่าผิดหวังและไม่น่าให้อภัยจริง ๆ
เรารู้กันดีว่าเมื่อมีกฎใหม่ลงมา มันก็จะมีบางทีมที่ไปถูก และก็มีบางทีมที่ไปผิดทาง แต่กับการที่ทีมแข่งร่วงลงมาจากอันดับ 4 มาอยู่ในอันดับ 9 ในปีนี้ นี่เป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างแล้ว ถึงแม้คุณอาจจะอ้างได้ว่า บุคลากรชั้นเยี่ยมบางคนได้เข้าทีมมาช้าเกินไปที่จะทันได้ออกแบบ AMR22 แต่ประสิทธิภาพของตัวรถนั้นก็ยังถือว่าน่าหวั่นวิตกอยู่ดี
การควอลิฟายเป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนของ Aston Martin พวกเขาหลุดจาก Q1 รัว ๆ แถมหลุดแบบ… หลุดไปอันดับ 18 19 อยู่บ่อยครั้ง นั่นเป็นผลให้ในปีนี้ พวกเขาทำผลงานได้ดีที่สุดในอันดับ 6 เท่านั้น จาก Sebastian Vettel ที่ บากู ในขณะที่ปีที่แล้ว พวกเขายังมีโพเดียมติดไม้ติดมือกลับบ้าน
นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Vettel ตัดสินใจรีไทร์หลังจบปีนี้ เราก็ได้แต่หวังว่าสถานการณ์ของทีมจะดีขึ้นในปีหน้า เผื่อว่า “น้องใหม่” อย่าง Fernando Alonso จะฉายแสงให้เราได้เห็นในช่วงบั้นปลายอาชีพนักแข่ง F1 ของเขา
- Daniel Ricciardo
ในแง่ของนักแข่ง พวกเขาจะทำผลงานได้ดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และหลาย ๆ คนก็พอจะเดาผลงานของนักแข่งแต่ละคนในปีนี้ได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่ก็มีบางคนเป็นข้อยกเว้น และหนึ่งในนั้นคือ Daniel Ricciardo
ในปีนี้รถแข่งทุกทีมได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อให้เป็นไปตามกติการด้านเทคนิคในปี 2022 ทุก ๆ คนก็คาดหวังว่า นี่จะเป็นจุดรีเซตใหม่ให้นักแข่งออสซีทำผลงานไล่เพื่อนร่วมทีมอย่าง Lando Norris ขึ้นมา แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในปีนี้ Norris กับ Ricciardo นั้นยิ่งแสดงความห่างออกมาชัดเจนยิ่งกว่าปีที่แล้ว
เขามีผลการแข่งขันที่ดีในออสเตรเลีย และจบการแข่งขันอยู่หน้า Norris ได้ที่บากู แต่นอกเหนือจากนั้น มันราวกับเป็นแสงจาง ๆ ที่ค่อย ๆ เลือนหายไป Ricciardo ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้ดูน่าประทับใจขึ้นมาได้เลย ยิ่งเมื่อเราได้เห็นคะแนนของทั้งสองนั้นก็ยิ่งปวดใจสำหรับแฟน ๆ ของนักแข่งออสซีคนนี้
และดูเหมือนว่า ความอดทนของทีมก็ได้หมดลงหลังจบการแข่งขันที่ฮังการี โดยมีข่าวลือว่า Ricciardo นั้นได้ถูกพาเข้าห้องพูดคุยกับทีมถึงการยกเลิกสัญญาในปีหน้า เพื่อเปิดทางให้กับนักแข่งรุ่นน้องร่วมชาติอย่าง Oscar Piastri ให้เข้ามาร่วมทีมแทน
- กลยุทธ์ของ Ferrari
นี่น่าจะเป็นอันดับ 1 ของสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดในปีนี้อย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ พวกเขามีรถที่ดี มีนักแข่งที่ยอดเยี่ยม แต่กลับมีปัญหาในการวางกลยุทธ์ระหว่างการแข่งขัน จนทำให้ชัยชนะหลุดลอยไปจากมืออยู่หลายครั้ง
Ferrari เปิดฤดูกาลด้วยความอลังการ พวกเขาคว้าชัยชนะ 1-2 ได้ที่บาห์เรน ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง Mercedes มีรถที่ไม่เร็วพอจะต่อกรกับพวกเขา ส่วน Red Bull ที่เร็วพอ รถกลับพังในรอบสุดท้ายทั้ง 2 คัน
แต่สัญญาณของความไม่สงบก็เริ่มโผล่ออกมา ที่โมนาโก พวกเขาวางแผนผิดพลาดไปเล็กน้อย ทำให้ Charles Leclerc อดคว้าชัยชนะในบ้าน และมาหนักหนาสาหัสที่ฝรั่งเศสและฮังการี ซึ่งทำให้แฟน ๆ แทบจะพังทีวีกันเลยทีเดียว
ที่ฝรั่งเศส จากการตัดสินใจอันเชื่องช้าของทีม นั่นทำให้ Carlos Sainz ไม่สามารถที่จะไล่ตำแหน่งขึ้นมาลุ้นในอันดับ 4 ได้ ในขณะที่ที่ฮังการี พวกเขาถึงขนาดทำให้ผู้นำอย่าง Leclerc อันดับรูดไปถึงอันดับ 6 หลังผ่านเส้นชัย จากการเลือกเวลาเข้าพิทที่ผิดพลาด และยังเลือกยางอย่างผิดพลาดให้กับนักแข่งโมเนแกสไปอีก
ดังนั้นนี่จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันคือความผิดหวังขั้นสุดของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนี้ มันน่าผิดหวังเป็นอย่างมากทั้งกับทีมเองและแฟน ๆ ซึ่งในปีนี้อย่างที่ได้กล่าวไป พวกเขามีรถที่ดีพอ มีนักแข่งที่ยอดเยี่ยมพร้อม แต่ขาดซึ่งการวางกลยุทธ์ที่เด็ดขาด
อ้างอิง : planetf1.com