ครั้งแรกของโลกที่ ISUZU เปิดตัวเครื่องใหม่ 2.2 ลิตรในเมืองไทยกับ ISUZU MAXFORCE เพื่อมาอุดช่องว่างความแรงและประหยัดระหว่างรุ่น 1.9 และ 3.0
ขุมพลังใหม่ 2.2 Ddi MAXFORCE มาจุติลงในปิกอัพ ISUZU D-MAX ทุกขนาดตัวถัง และ ISUZU MU-X ทุกไลน์อัพรุ่นย่อย
เพราะเมืองไทยสัดส่วนการขาย ISUZU กับเครื่องยนต์ขนาดมาตรฐานมากถึง 80% สำหรับปิกอัพและ 70% สำหรับพีพีวีและเป็นตลาดหลักที่มีศักยภาพประจวบเหมาะกับ 1.9 ลิตร เทอร์โบแปรผัน VGS อยู่มานานถึง 9 ปี แม้จะได้ฉายาจิ๋วแต่แจ๋วแต่พละกำลังกลับไม่เจ๋งเพราะให้กำลังเพียง 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที
ความจุกระบอกสูบ 1,898 (CC) ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 80×94.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด (ต่อ 1) 15.9 เมื่อมาใส่ในตัวเตี้ยแค็ปตอนครึ่ง SPACECAB, SPARK ตอนเดียวพอรับไหวพอมาอยู่ในร่างยกสูง Hi-Lander ทั้ง 2 และ 4 ประตู หรือ MU-X ให้กำลังน้อยอืดเพราะตัองแบกน้ำหนักมาก
กลายเป็นเรื่องไม่สบอารมณ์ของเหล่าวัยรุ่นสร้างตัว (ที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่นอิ่มตัว) หรือกลุ่มขาซิ่งเท้าขวาหนัก (ที่เท้าขวาเริ่มจะไม่มีแรงเหยียบ) จึงเป็นที่มาของการพัฒนาเครื่องใหม่ 2.2 ลิตรโดยขุมพลังนี้สงวนในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อไม่ว่าตัวเตี้ยหรือยกสูง
ขนาดใหม่ 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) เป็นดีเซลเทอร์โบแปรผันไฟฟ้า E-VGS รุ่น RZ4F-TC ให้พลังแรงเพิ่มขึ้นสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที
ความจุกระบอกสูบ 2,164 (CC) ด้านความกว้างกระบอกสูบxช่วงชัก เพิ่มในส่วนความกว้างจากเดิม 3 มิลลิเมตรและช่วงชักเพิ่มจากเดิม 5.6 มิลลิเมตร เป็น 83×100 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด (ต่อ 1) เท่าเดิมคือ 15.9 พัฒนาให้แรงบิดช่วงออกตัวสูงขึ้น 56% ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเดิมสูงสุด 10.7% CO2 ต่ำเพียง 165 กรัมต่อกิโลเมตรสำหรับสเปกเครื่องมีการปรับใหม่ทั้งหมดตามหลัก 5C หรือชิ้นส่วนใหม่ 5 จุดไม่ว่าจะเป็น
- Cylinder Head ฝาสูบ
- Cylinder Block เสื้อสูบแบบ EXTREME STRENGTH ให้ความแกร่งเป็นพิเศษ
- Connecting Rod ก้านสูบ
- Crank Shaft เพลาข้อเหวี่ยง
- Cylinder Piston ลูกสูบมาแบบใหม่ ULTRA-LOW FRICTION ที่ให้แรงเสียดทานต่ำพิเศษ
อัพใหม่!กับหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูง 250 MPa.ใหม่! ECM แบบ MULTI-CORE ประสิทธิภาพสูงใหม่! E-VGS TURBO เทอร์โบแปรผันควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์จากค่าย IHI กับรหัส V33Z ใหม่!ห้องเผาไหม้แบบ HIGH SWIRL เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้สมบูรณ์แบบ ระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์ใหม่! HI-FLOW และชุดขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวด้วยเฟืองและโซ่เหล็กกล้า TIMING GEAR & CHAIN เอกลักษณ์อีกอันที่อยู่คู่กับ ISUZU มานาน
มาพร้อมระบบส่งกำลังทั้งเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบ REV TRONIC ให้อัตราทดเกียร์ต่อเนื่องในทุกช่วงความเร็วและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด แบบ GENIUS SPORT SHIFT รหัส MVL-6K อัตราทดใหม่ออกตัวได้ดีขึ้นแม้บรรทุกหนัก ให้ความประหยัดน้ำมันที่ความเร็วสูงโดยขุมพลังใหม่นี้เป็นการพัฒนาใหม่หมดไม่ได้เอาเครื่องเก่า 1.9 ลิตร RZ4E-TC หรือเอาเครื่องเก่าเรโทร 2.2 ลิตรรหัส C223 มาต่อยอดพัฒนาใหเข้ากับยุคแต่อย่างใด
เล็กๆไม่ใหญ่ๆชอบนี่คืองานถนัดของ ISUZU จัดงานอลังการงานสร้างด้วยการเนรมิตสนามรถแข่งระดับโลกอย่างสนามบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต มาเป็นห้องเชือดให้เหล่าสื่อมวลชนสายรถยนต์ทุกสำนักรวมถึง Car2Day เข้าร่วมการทดสอบด้วยระยะทางในสนาม 4.5 กิโลเมตร ครั้งนี้จัดทดสอบขับกันถึง 2 รุ่นเริ่มที่รุ่น Hi-Lander 4 ประตูยกสูงรุ่น 2.2 M เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
แม้หน้าตาเดิมทั้งคันแต่หารู้ไม่ว่าเครื่องใหม่นี้กลับให้การตอบสนองอย่างว่องไวในทางตรงเกือบ 1 กิโลเมตรสามารถเร่งเร็วจาก 80-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาอันสั้น ทางด้านความเร็ว 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำความเร็วได้พอควรและดีกว่า 1.9 แม้โทนเสียงเครื่องคล้ายกับ 1.9 เก็บเสียงดีเพราะออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้น
เกียร์อัตโนมัติลูกใหม่มาในรหัส LB500 จาก AISIN 8 สปีด (คนละลูกกับ Mitsubishi Pajero Sport รุ่นปี 2015-2024) พร้อมก้านเหนี่ยวไกหลังพวงมาลัยหรือ Paddle Shift โดยด้วยอัตราทดเกียร์ เกียร์ 1= 4.903, เกียร์ 2 = 3.120, เกียร์ 3 = 2.166, เกียร์ 4 = 1.597, เกียร์ 5 = 1.312, เกียร์ 6 = 1.000, เกียร์ 7 = 0.776 และเกียร์ 8 =0.651 เกียร์ถอยหลัง = 4.050 อัตราทดเฟืองท้าย=3.583
เกียร์ลูกนี้ให้โอเวอร์ไดรฟ์ถึง 2 เกียร์นั่นคือ เกียร์ 7 กับ 8 โดยรวมให้ความสมูทลื่นไหลการเปลี่ยนเกียร์ไม่กระตุกตอบสนองดีรักษารอบกำลังไม่ให้ลากมากเกินไปเพราะอัตราทดที่เยอะนั่นเอง
พวงมาลัยพาวเวอร์สำหรับคันนี้แม้จะเป็นไฮดรอลิกน้ำมันกลับเซตมาได้อย่างดีน้ำหนักเบา เข้าโค้งมั่นใจช่วงล่างพื้นฐานด้านหน้าเป็นอิสระปีกนก 2 ชั้นคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงและแหนบแผ่นรูปครึ่งวงรี 3 แผ่น สำหรับด้านหลังใช้โช้คอัพแก็สทั้งหน้า
จากช่วงล่างเดิมๆที่เผยตัวตนออกแนวเด้งดีดครั้งนี้มาในแนวนุ่มนวลมากไม่ดีดอีกต่อไปรวมถึงระบบควบคุมการทรงตัว ESC และกันลื่นไถล TCS ไม่จับบ่อยสร้างความสนุกสนานตลอดการขับในสนาม ระบบเบรกทำงานดีคุมเบรกได้ทุกโค้งด้วยหม้อลมเบรกขนาดใหญ่รวมถึงดิสก์เบรกขนาดใหญ่ 320 มิลลิเมตรและด้านหลังดรัมเบรกส่งผลให้เบรกมั่นใจฉับไวไม่ไถลออกนอกโค้ง
หลังจากขับรุ่นยกสูงถึงกับอุทานดังๆเลยว่า เฮ้ย!! ไปทำอะไรมาถึงได้ขับสนุกขนาดนี้และไม่เคยเห็น ISUZU ทำรถได้ดีแบบเพราะ ทางเขาออกแบบรถคันนี้ตั้งแต่การจัดวางเครื่อง แชสซีส์ ช่วงล่าง ระบบพวงมาลัย และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดให้ความบาลานซ์สมดุลกันเป็นหนึ่งเดียว
พอมาเป็น ISUZU MU-X RS 2.2 ขับเคลื่อน 2 ล้อ แม้น้ำหนักรถจะมากขึ้นภาพรวมกำลังเครื่องให้ความกระฉับกระเฉงกว่าสมัยรุ่น 1.9 และไม่หน่วงในช่วงความเร็ว 80-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเส้นตรงๆทุกโค้งสบายใจด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering) น้ำหนักเบากว่าตอนสมัยเป็นแบบน้ำมันเบาสาวพวงมาลัยได้อย่างคล่องมือในยามความเร็วต่ำๆถึงกลางๆแต่จะเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาอีกนิดในความเร็วสูงเหมือนตอนขับเครื่อง 3.0
ช่วงล่างในรุ่น RS เป็นคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และเหล็กกันโคลงช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension ปรับใหม่ออกไปทางนุ่มนวลมากขึ้นอาการเด้งน้อยลง ยังให้เห็นบ้างในบางช่วง แต่ระบบควบคุมการทรงตัว ESC และกันลื่นไถล TCS ทำงานตรงกันข้ามกับ D-MAX ตรงที่จับบ่อยขึ้นตอนเข้าโค้งประนึงโดนผู้ปกครองห้ามปรามตลอดไม่มีอิสระเหมือน D-MAX
ทดสอบขับแบบพอควรแล้วก็มาเล่าถึงหน้าตาทั้ง 2 รุ่นบ้างเริ่มที่รุ่น Hi-Lander 4 ประตูยกสูงรุ่น 2.2 M ที่เพิ่มมาคือตรารุ่นเครื่อง 2.2 ลิตรติดใต้ชื่อรุ่น M บริเวณฝากระบะท้ายและสีใหม่สีเทาอ่อน เอลบรุส โอเพค (Elbrus Grey Opaque)
บนหน้าเดิมทั้งฝากระโปรงจดกันชนหน้ากระจังหน้าแนวนอนแบบเขี้ยวซ่อนรูป 2 ชั้น ดีไซน์เอกลักษณ์พร้อมตรา ISUZU ขนาดใหญ่แบบ 3-Dimension สี Silky Silver และ Dark Grey สอดรับกับไฟหน้า ISUZU Vision Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight ทำหน้าที่ทั้ง Daylight ไฟหรี่ และไฟเลี้ยวที่ย้ายมาอยู่ในโคมเดียวกัน
กันชนหน้าดีไซน์ใหม่เป็นหนึ่งเดียวกับกระจังหน้ามีช่องระบายอากาศทรงหกเหลี่ยมลายรังผึ้งพร้อม Air Curtain นวัตกรรม Aerodynamic ลดแรงต้านอากาศ แบบฉบับ รถสปอร์ตหรู ไฟตัดหมอกหน้า LED
ฝาท้ายใหม่ดีไซน์รูปตัว H พร้อมสปอยเลอร์ในตัวกระบะท้าย ไฟท้ายแบบ Triple-Armour LED กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว 6 ก้านคู่ปัดเงาและสีเงินดีไซน์แบบ Turbine Spiral พร้อมยาง Bridgestone รุ่น Dueler HT 684 II ขนาด 265/60 R18
ภายในเดิมๆทั้งชุดมาตรวัดเรืองแสงใหม่พร้อมจอขนาดใหญ่ 7 นิ้ว Multitasking System เชื่อมต่อข้อมูลกับหน้าจอ Integrated MID แสดงผลได้หลายฟังก์ชัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับระดับได้ 4 ทิศทาง หน้าจอระบบสัมผัส Infotainment Display ขนาด 8 และ 9 นิ้ว รองรับการใช้งานทั้งระบบ Wireless Android Auto และ Wireless Apple CarPlay Charging Socket แบบ USB-C ชาร์จได้รวดเร็วทั้งที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง และระบบช่วยเหลือผูขับขี่อัจฉริยะ ADAS 13 รายการ ในราคา 1,137,000 บาท (เพิ่มจากเดิม 9,000 บาท สีขาวมุกเพิ่ม 7,000 บาท)
ทางด้าน ISUZU MU-X RS 2.2 รุ่นย่อยใหม่หน้าตาเหมือนรุ่น RS 3.0 ทุกประการ ทรงพลังด้วยกระจังหน้า BLACK DIAMOND GRILLE พร้อมสะท้อนความพีคด้วยสัญลักษณ์ RS ด้วยวัสดุ Black Chrome ช่องระบายอากาศด้านข้าง Side Garnish
พร้อมสัญลักษณ์ RS โดดเด่นเท่สะดุดตาด้วยสี LIME GREEN หลังคาดำ Black Roof พร้อมราวหลังคาบิ๊วอิน มีเสาอากาศครีบฉลามสีดำ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยไฟฟ้าตกแต่งสีดำ ชุดกันชนหลังทรงเดิมออกแบบลิ้นสปอยเลอร์หลังใหม่และคิ้วชายล่างซ้ายขวามุมกันชนหลังพร้อมสัญลักษณ์ RS
คิ้วชายล่างตกแต่งสปอร์ตพร้อมบันไดข้าง คิ้วขอบล้อสีดำขนาดใหญ่แบบ Fender Garnish สปอร์ตด้วยล้ออัลลอย RS Design ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/50 R20 จาก Bridgestone Dueler 684II HT
ไฟหน้า Bi-LED แบบ Dynamic Blade มีไฟ Daytime แบบ LED ในตัวโคมไฟหน้า เร้าใจด้วยชุดกันชนหน้า แบบ Fighter Jet ดุดันพร้อม Air Curtain เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ พร้อมไฟตัดหมอกหน้า LED สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์เติมอารมณ์สปอร์ต
สบายยิ่งกว่าด้วยฝาท้าย Smart Tailgate เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าทำงานร่วมกับระบบ Step Sensor และหยุดเมื่อมีสิ่งกีดขวางด้วยระบบ Jam Protection พร้อมชุดกันชนหลังทรงเดิมออกแบบลิ้นสปอยเลอร์หลัง ไฟท้าย LEDแบบ Dynamic Blade พร้อมผสานดีไซน์สปอร์ตของชุดไฟท้ายด้วยเส้น Embrace Line พร้อมการตกแต่งภายนอกเฉพาะรุ่น
ภายในยกระดับบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้พีคกว่าเดิมด้วยโทนสีดำ พร้อมตกแต่งด้วย Matte Silver Garnish เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตนั่งสบายโอบรับสรีระโดดเด่นด้วยการเดินด้ายสี LIME GREEN และสัญลักษณ์ RS บนหัวเบาะ เบาะกันความร้อนด้วย Cool MAX เร้าใจด้วยบรรยากาศภายในด้วยไฟสร้างบรรยากาศสีแดง Red Ambient Light และคอนโซลสีดำดีไซน์ใหม่เหนือระดับทุกรายละเอียดตกแต่งด้วยสีเงิน Matte Silver
มาตรวัดเรืองแสง Integrated MID 7 นิ้ว เชื่อมต่อข้อมูลกับจอสัมผัส Infotainment Display ขนาด 9 นิ้วรองรับการใช้งานทั้งระบบเชื่อมต่อไร้สายทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay แสดงผลหลายฟังก์ชันทั้งแสดงองศามุมปีนไต่ ลาดเอียง ทิศทางการเลี้ยวของล้อ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ที่หน้าจอ Integrated MID และ Infotainment Display ลุยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น พร้อมลำโพงรวมทวิตเตอร์หน้า-หลัง 8 จุด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านปรับได้ 4 ทิศทาง
เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold ความสะดวกสบายครบครันมี Ambient Light และ Dome Light หรูมีระดับ เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์หลัง Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger Type C และช่องต่อ DC 12V
เบาะนั่งปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางสำหรับคนขับและปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางสำหรับคนนั่งพร้อมเบาะนั่งตอนที่ 2 ปรับเอนได้ถึง 22 องศา พับได้ 60/40 แบบพับม้วนเดียวจบและเบาะนั่งตอน 3 สบายพับได้แบบ 50/50 พร้อมพื้นที่สัมภาระด้านท้ายมากถึง 311 ลิตร และพับเบาะตอน 3 มีพื้นที่ความจุมากถึง 1,119 ลิตร และเมื่อพับตอน 2 กับตอน 3 ด้วยกันจะมีพื้นที่ความจุมากถึง 2,138 ลิตร มากที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS 17 รายการ ในราคา 1,624,000 บาท สีขาวมุกเพิ่ม 12,000 บาท
ด้วยแรงม้าเครื่องที่มากขึ้น 9% แรงบิดเพิ่มขึ้นจากเดิม 14% รวมถึงการบาลานซ์สร้างสมดุลทุกส่วนของตัวรถให้เป็นหนึ่งเดียวทำให้การตอบสนองของเครื่องมาอย่างไวทั้งในช่วงต้นจนถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนเส้นทางตรง เข้าโค้งสนุกมันส์กำลังเครื่องมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน
เกียร์ทำงานฉลาดรองรับทุกย่านความเร็วสนุกสนานเร้าใจกว่าเครื่องเดิมตลอดการทดสอบในสนามบุรีรัมย์ สำหรับการขับขี่ทั้ง 2 รุ่นกับเครื่องยนต์ใหม่
การมาของเครื่องยนต์ใหม่ทำให้เครื่องเดิม 1.9 ลิตรต้องจำหน่ายต่อไปจนหมดสต็อกโชว์รูมทั้งประเทศ แม้จะพูดไม่เต็มปากจะมาแทนหรือไม่แต่บอกตรงๆว่ามาแทนแน่นอน ด้วยค่าตัวที่ต่างกันตั้งแต่ 3,000 ไปจนถึง 10,000 บาทตามแต่ละรุ่นย่อยแถมจ่ายภาษีประจำปีป้ายดำเพียง 3,556 บาท
ทำให้เหล่าประชาคมอีซูซุทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่พึ่งมาจับแบรนด์นี้ใช้งานครั้งแรกไม่ลังเลที่จะเลือกเพราะของใหม่ย่อมดีเสมอทั้งงานบรรทุกและงานส่วนตัวสำหรับ ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE ทั้ง ISUZU D-MAX และ ISUZU MU-X