ฤดูกาล 2023 กำลังใกล้เข้ามา เหล่านักแข่ง Formula 1 ทั้งหลายต่างก็เตรียมตัวเพื่อที่จะทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด แต่จะมีนักแข่งอยู่ 5 คน ที่พวกเขาเหล่านั้นต่างต้องเจอกับความกดดันอย่างหนักในปี 2023 ด้วยสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
Oscar Piastri
มาเริ่มกันที่คนแรกซึ่งเป็นหนึ่งในรูกี้ประจำกริด F1 2023 Piastri นั้นต้องแบกรับความกดดันอย่างหนักมาตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับการยืนยันเป็นนักแข่งตัวจริงในปีนี้ เนื่องจากมันได้เกิดเรื่องวุ่นวายในการทำสัญญาและการเจรจาของเขากับต้นสังกัดเก่าอย่าง Alpine และต้นสังกัดปัจจุบันอย่าง McLaren
เดิมทีนั้น Piastri เป็นนักแข่งในโปรแกรมเยาวชนของ Alpine ซึ่งทำให้เขามีโอกาสที่จะขึ้นมาเป็นนักแข่ง F1 ให้กับทีมแข่งจากฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่ชัดเจนของสัญญาและการไม่ตัดสินใจของ Alpine นั่นทำให้นักแข่งออสเตรเลียนได้ดอดไปทำสัญญากับ McLaren จนเป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่า McLaren จะเป็นฝ่ายชนะการฟ้องร้องและได้ตัว Piastri ไป แต่ก็มีแฟน ๆ บางส่วน รวมถึงแฟน ๆ Alpine ไม่พอใจต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และมองว่านักแข่งหนุ่มวัย 21 ปี นั้นไม่ซื่อสัตย์ต่อต้นสังกัด ซึ่งนั่นทำให้เกิดความกดดันต่อหนุ่มออสซีที่จะต้องทำผลงานออกมาเพื่อลบล้างข้อครหาดังกล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น ความกดดันอีกส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขาได้ไปแทนที่เพื่อนร่วมชาติมากฝีมืออย่าง Daniel Ricciardo เพราะถึงแม้ว่านักแข่งออสซีวัย 33 ปี จะทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานในสังกัด McLaren จริง แต่การที่ McLaren ยอมฉีกสัญญา Ricciardo เพื่อให้ได้มาซึ่ง Piastri แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องคาดหวังผลงานของนักแข่งรูกี้ให้เทียบเท่ากับ Lando Norris หรืออย่างน้อยก็ควรจะดีกว่า Ricciardo อย่างจับต้องได้
Sergio Perez
เรารู้ดีว่าการเป็นเพื่อนร่วมทีมของ Max Verstappen ที่ทำผลงานอยู่ในระดับท็อปอย่างสม่ำเสมอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การที่คุณไม่สามารถจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์โลกได้ อีกทั้งชนะได้เพียง 2 ครั้ง เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีมที่ชนะไปถึง 15 ครั้ง นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าประทับใจนัก และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Perez
เข้าสู่ปี 2023 หลายฝ่ายคาดว่า Red Bull จะถูกท้าทายมากขึ้นจากคู่แข่ง และนั่นหมายความว่า Perez จะต้องยกระดับของตัวเองขึ้นมา
และถ้าหากนักแข่งเม็กซิกันยังไม่สามารถทำผลงานได้ดีกว่านี้ ก็มีโอกาสที่ Red Bull ซึ่งดึงตัว Ricciardo มารออยู่แล้วในฐานะนักขับสำรอง จะดันนักแข่งออสซีขึ้นมาขับแทนในปี 2024
Yuki Tsunoda
“นักแข่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี ในการเรียนรู้เพื่อที่จะแข่งขันให้ได้ในระดับสูงสุด” คือคำกล่าวของ Franz Tost ทีมบอส AlphaTauri และปี 2023 จะเป็นปีที่ 3 ของ Tsunoda ในการแข่งขัน F1
ในปี 2022 ถึงแม้ว่านักแข่งญี่ปุ่นจะไม่ได้มีการปรับปรุงผลงานในแง่ของคะแนนสะสมขึ้นมา แต่ระดับผลงานของเขาเมื่อเทียบกับ Pierre Gasly เพื่อนร่วมทีมฝีมือเยี่ยม รวมทั้งความผิดพลาดในการแข่งขันที่ลดลง ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดีของ Tsunoda
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ความคาดหวังต่อผลงานของนักแข่งญี่ปุ่นนั้นสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมามาก เมื่อเขาจะต้องกลายเป็นผู้นำทีม โดยที่มีเพื่อนร่วมทีมคนใหม่อย่าง Nyck de Vries เข้าร่วมสังกัด ซึ่งนักแข่งดัตช์นั้นทำผลงานได้อย่างสุดปัง ด้วยการเก็บแต้มได้ตั้งแต่ลงแข่งขันสนามแรก แถมรถที่เขาขับคันนั้นยังเป็นรถ Williams ซึ่งอยู่ท้ายตารางอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น หาก Tsunoda ทำผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ เขาก็มีสิทธิที่จะถูกแทนที่โดยนักแข่งในสังกัด Red Bull Junior Team ซึ่งถ้านับแค่ใน Formula 2 ก็มีถึง 6 คนแล้ว
Logan Sargeant
การขึ้นมาแข่งขัน F1 เป็นครั้งแรกนั้นย่อมเป็นอะไรที่กดดันอยู่แล้ว และการที่เป็นนักแข่งอเมริกันเพียงคนเดียวที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศไว้ ย่อมเป็นอะไรที่เพิ่มความกดดันขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ Sargeant กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
Sargeant เป็นนักแข่งอเมริกันคนแรกที่จะได้ลงแข่งขัน F1 เต็มฤดูกาล หลังจากครั้งสุดท้ายมันเกิดขึ้นในปี 2007 กับ Scott Speed ซึ่งนอกจากความคาดหวังจากประเทศบ้านเกิดที่เขาต้องแบกรับแล้ว เพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง Alex Albon ก็จะเป็นตัวชี้วัดฝีมือของนักแข่งวัย 22 ปี เป็นอย่างดี โดยอย่างน้อย ๆ ในปีแรก Sargeant ควรจะพยายามจบการแข่งขันให้ได้มากที่สุด และอาจจะมีแต้มติดมือกลับไปบ้างเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย
Nico Hulkenberg
ถึงแม้ว่า Mick Schumacher จะยกระดับของตัวเองขึ้นมาในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2022 แต่ Haas ก็เลือกที่จะไม่ไปต่อกับนักแข่งเยอรมัน และมองไปยังนักแข่งที่มีประสบการณ์ เพื่อที่จะเข้ามาช่วยพลิกสถานการณ์ของทีม และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทีมแข่งอเมริกันเลือก Hulkenberg ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ลงแข่งขันมาแล้วมากกว่า 180 สนาม
Hulkenberg นั้นไม่ได้ขับ F1 เต็มฤดูกาลมาตั้งแต่หลังจบปี 2019 ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้รับความไว้วางใจในเรื่องฝีมือมากพอ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเขาได้เข้ามาเป็นสแตนด์อินแทนนักแข่งหลายคนที่ไม่สามารถลงแข่งขันได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งนักแข่งเยอรมันกลับทำได้ดีอย่างโดดเด่น ทำให้ Haas ตัดสินใจที่จะให้ความไว้วางใจกับ Hulkenberg อีกครั้ง
การกลับมาในครั้งนี้ ความกดดันที่ Hulkenberg ต้องแบกรับนั้นจึงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาต้องแสดงให้เห็นว่า ทำไมเขาจึงได้รับความไว้วางใจให้กลับมาเป็นนักแข่งตัวจริง และงานของเขาก็ไม่ใช่งานง่ายเลย เนื่องจาก Kevin Magnussen เพื่อนร่วมทีมของเขานั้นก็มีฝีมือที่ไม่ธรรมดา แถมนักแข่งจากเดนมาร์กยังเป็นคนที่คว้าโพลแรกให้กับ Haas อีกด้วย
อ้างอิง : planetf1.com