อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่มีใครอยากให้เกิด ขอเพียงสติคุณไม่เตลิด ทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์คับขัน ที่สำคัญไม่ควรประมาททุกครั้งที่ขับขี่ โดยเฉพาะเวลาฝนตก ช่วงนี้ฝนเริ่มกลับมาหนักอีกครั้ง บวกกับหลายคนเริ่มวางใจในการออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น แต่การเดินทางยังคงเป็นไปในรูปแบบของการใช้รถยนต์ส่วนตัว เนื่องด้วยความปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด 19 พร้อมกับเป็นการลดการสัมผัส เว้นระยะห่างใกล้ชิดกับผู้อื่น และหลายครั้งที่เราได้เห็นข่าวอุบัติเหตุจนถึงชีวิตจากการขับรถบนถนนที่ลื่นหลังจากฝนตกหนัก หรือขับแฉลบเข้ามุมที่น้ำขังจนรถพลิกคว่ำ รวมถึงการลื่นหลุดโค้งจนพุ่งไปประสานงากับรถอีกฝั่ง จนเกิดการสูญเสีย
ซึ่งหากเมื่อคุณมีความจำเป็นต้องออกเดินทางในช่วงฤดูฝนนี้ ก็ควรที่จะศึกษาเทคนิคในการขับรถในฤดูฝนเอาไว้บ้าง เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและเพื่อนร่วมทาง ไม่เฉพาะกับการขับรถเดินทางไกลเท่านั้น แต่การขับรถในเมืองที่มีน้ำท่วมขังในจุดอับสายตา ก็อาจเป็นที่มาของอุบัติเหตุได้ หลายคนจึงตั้งคำถาม แล้วขับรถตอนฝนตก ต้องขับอย่างไร? ขับแบบไหน? จึงจะเซฟที่สุด เพราะต่อให้เราระวัง แต่คนอื่นไม่ระวัง ลองมาสังเกตพฤติกรรมการขับของคุณ และทำตามคำแนะนำเหล่านี้กัน
ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนจะเดินทางไกลในวันนั้นล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเดินทางได้จริงๆ แต่ถ้าหากอากาศไม่เป็นใจจริงๆ และมีความจำเป็น ก็ควรดูช่วงเวลาที่ฝนตกไม่หนักมาก หรือสามารถขับรถได้ในสภาพอากาศที่ไม่ย่ำแย่มากจนเกินไป เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงอันตรายและสามารถวางแผนการเดินทางและที่นัดหมายได้ทันท่วงที
เช็คเส้นทางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง หากคุณจำเป็นต้องออกเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางไปต่างจังหวัด คุณควรตรวจเช็คเส้นทางให้เรียบร้อยจากแอพพลิเคชั่น เพราะนั่นจะทำให้คุณเห็นรูปแบบเส้นทางล่วงหน้า ว่ามีความคดเคี้ยว ขึ้นเขา ตรงจุดไหน เป็นช่วงเส้นทางตรงยาวประมาณกี่กิโลเมตร สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณระมัดระวังตัวเองได้ยิ่งขึ้น เมื่อถึงจุดอันตรายดังกล่าว เช่น เมื่อถึงช่วงโค้ง ขึ้นเขา ลาดชัน ก็จะได้ชะลอความเร็ว และระมัดระวังเป็นพิเศษ
หมั่นตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ยางรถยนต์เปรียบเสมือนเท้าของคุณ ที่จะนำพาคุณไปอย่างปลอดภัย หรือไม่ล้มลุกคลุกคลาน ดังนั้นไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ควรตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ให้พร้อมก่อนเสมอ อันดับแรก ลมยางควรเติมให้ตรงตามค่ามาตรฐานที่ศูนย์รถยนต์ตั้งไว้ หมั่นเช็คลมยางทุกสัปดาห์ และควรเติมลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพราะหากสภาพยางไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้
ตรวจเช็คผ้าเบรกก่อนเดินทาง ด้วยช่วงฤดูฝน ถนนจะลื่นมากกว่าปกติ ทำให้ผู้ขับขี่ต้องแตะเบรกบ่อยครั้ง ซึ่งนั่นทำให้เปลืองผ้าเบรกได้ ดังนั้นการเช็คผ้าเบรกของรถยนต์ที่คุณขับจึงมีความจำเป็น โดยลองสังเกตว่าขณะที่คุณเหยียบเบรก คุณได้ยินเสียงผิดปกติหรือไม่ รถยนต์มีการไหลออกไปไกลกว่า หรือไม่หยุดอยู่ในระยะปกติหรือเปล่า ถ้ามีอาการเหล่านี้ ให้รีบนำรถไปเช็คผ้าเบรกที่ศูนย์บริการทันที
ตรวจเช็คยางที่ปัดน้ำฝน ยางที่ปัดน้ำฝน เปรียบเสมือนแว่นสายตา หรือแว่นกันแดดของคุณก็ว่าได้ ในขณะที่ฝนตกหนัก ทัศนวิสัยภายนอกไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นคุณต้องมั่นใจว่ายางที่ปัดน้ำฝนที่ติดอยู่กับรถของคุณ ทั้งหน้า และหลัง จะช่วยเคลียน้ำบนกระจกให้ชัดเจน และไม่มัวไปมากกว่าเดิม สังเกตง่ายๆ รถคุณจอดนิ่งอยู่ในบริเวณที่แดดจัด หรือความร้อนสูงนานๆ หรือเปล่า เพราะความร้อนจะทำให้ยางเสื่อมสภาพได้ง่าย และไวขึ้น นอกจากนี้ ให้ลองฉีดน้ำที่ปัดน้ำฝนในขณะที่ฝนยังไม่ตก เพื่อล้างฝุ่นหน้า และหลังรถของคุณดูก่อนว่า ยางที่ปัดน้ำฝนนั้น ช่วยเคลียน้ำได้ออกได้เกลี้ยงดีหรือไม่ หากพบว่าปัดแล้วขุ่นมัว ควรเปลี่ยนทันที เพื่อความปลอดภัย และทัศนวิสัยในการมองเห็น
ตรวจเช็คไฟหน้า ไฟท้าย สม่ำเสมอ ในช่วงที่ฝนเทกระหน่ำ สัญญาณไฟของรถคุณ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมถนนมองเห็นว่าคุณอยู่ตรงจุดนี้ หากไฟดวงใดดวงหนึ่งขาด ควรรีบเปลี่ยนทันที
อย่าขับชิดซ้าย หรือขวาสุด ขณะที่ฝนตก และมีน้ำท่วมขัง จุดที่จะมีน้ำขังมากที่สุดคือ เลนซ้ายสุด และขวาสุด ซึ่งนั่นคือสาเหตุหลักๆ ของการที่รถคุณเสียหลัก ดังนั้นควรขับรถบนกึ่งกลาง หรือเลนกลางของถนน เพราะระดับน้ำจะต่ำที่สุด ใช้เกียร์ต่ำ รักษาระดับความเร็วให้คงที่ และไม่ขับในความเร็วสูง
จับพวงมาลัยให้แน่น ความแข็งแรงของการจับพวงมาลัยถือเป็นอีกสิ่งสำคัญในขณะขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วมขัง เพราะนอกจากจะต้องรักษาความเร็วไม่ให้สูงเกินไปแล้ว ขณะที่คุณขับไปเจอน้ำขังตามไหล่ทาง ล้อรถยนต์จะปัด และแฉลบ ถ้าคุณตกใจ อาจทำให้รถพลิกคว่ำได้ ฉะนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมีสติ และจดจ่ออยู่กับเส้นทาง สองมือ จับพวงมาลัยอย่างแข็งแรง เพื่อบังคับล้อรถไม่ให้แฉลบไปกับน้ำท่วมขัง หากคุณจับพวงมาลับไม่แน่นพอ แรงต้านของล้อรถกับน้ำ จะทำให้พวงมาลัยหมุนไปในทิศทางอื่น จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
อย่างไรก็ตามหากคุณสังเกตพฤติกรรมการใช้รถของคุณ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำด้านบนนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง มีสติ และไม่ประมาทในทุกเวลาขณะขับรถ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ และเพื่อนร่วมทาง