การเปลี่ยนแปลงนักขับภายในทีม วิวัฒนาการของรถ และกฎที่ถูกเปลี่ยนไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในการแข่งขัน Formula 1 World Championship แต่เมื่อใดก็ตามที่หนึ่งในปัจจัยด้านบนถูกเปลี่ยนไปมากอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถเรียกได้ว่า ยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในปี 2022 กฎการออกแบบตัวรถได้ถูกเปลี่ยนแปลงยกเครื่องใหม่ นั่นมีโอกาสทำให้อันดับทีมแข่งมีการสลับเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ได้มีเพียงแค่กฎทางเทคนิคที่ถูกเปลี่ยนเท่านั้น ดังนั้นเราลองมาสำรวจดูสาเหตุที่อาจจะทำให้ทีมแข่งมีโอกาสสลับอันดับกันได้
- รถใหม่แกะกล่องที่ทีมต้องทำความรู้จักใหม่หมด
ในขณะที่มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้อันดับทีมแข่งสลับกันไปมา ปัจจัยที่ชัดเจนที่สุดที่น่าจะทำให้เกิดการสลับอันดับนั้นอยู่ที่ตัวรถ หลายปีที่ผ่านมา FIA และ Formula 1 ได้ทำการค้นคว้าและวิจัยสิ่งที่จะทำให้การแข่งขันนั้นสูสีกันมากยิ่งขึ้น นั่นทำให้เกิดเป็นรถแข่งเวอร์ชั่น 2022 ขึ้นมา
เดิมทีแล้วกฎใหม่มีแผนที่จะนำมาใช้ในปี 2021 แต่เนื่องด้วยการระบาดของโควิดทำให้มันเลื่อนออกมาใช้ในปี 2022 แทน กฎใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ออกแบบรถที่สามารถขับไล่ตามกันได้ใกล้กว่าเดิม แต่ไม่ว่าความตั้งใจของพวกเขาจะให้ผลออกมาในทิศทางใด ทีมแข่งก็จะต้องสร้างรถใหม่ขึ้นมา นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องพบกับปรัชญาการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ใหม่ เครื่องยนต์กลไกใหม่ และอีกหลายอย่างที่ทีมงานต้องทำความเข้าใจใหม่
เมื่อดูจากประสบการณ์ในอดีต การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แต่ละครั้งมันก็มักจะมีทีมที่จับจุดได้ถูกต้อง และบางทีมก็คลำไปผิดทาง ดังนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่อันดับทีมแข่งในปีที่แล้วจะเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้กระทั่งมีทีมใหม่บางทีมโดดเด่นขึ้นมา
- การแข่งขันบนแทร็คที่สูสีขึ้น
เป้าหมายหลักของรถแข่งเวอร์ชั่นใหม่ก็คือ การสร้างดาวน์ฟอร์ซในวิถีทางใหม่เพื่อให้รถคันที่ตามหลังมาได้รับผลกระทบจากอากาศที่ผ่านรถคันหน้ามาน้อยลง นั่นทำให้โฟกัสส่วนใหญ่ไปตกอยู่ที่พื้นรถจนนำไปสู่ผลลัพธ์ในการใช้กราวน์เอฟเฟ็คต์
ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่อาจคาดเดาผลที่ออกมาได้ แต่คาดว่านักแข่งนั้นจะไม่ต้องใช้ศักยภาพรถที่เหนือกว่ามากในการไล่แซง และสามารถเค้นรถให้ไล่เข้าไปไกล้รถคันหน้าได้มากขึ้น แทนที่จะต้องเว้นระยะห่างเพื่อให้พ้นจากช่วงอากาศสกปรกจากรถคันหน้า
หากเป้าหมายข้างต้นนั้นบรรลุผล มันมีโอกาสมากทีเดียวที่เราจะเห็นการแข่งขันบนแทร็คที่เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจได้เห็นการวางกลยุทธ์ใหม่ๆ แทนที่จะเป็นการบริหารยางรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าจนเกิดเป็นขบวนรถไฟ
- การแข่งขันกันพัฒนาอย่างดุเดือดจนเปลี่ยนแปลงอันดับตลอดทั้งฤดูกาล
อีกหนึ่งผลที่ตามมาจากการใช้กฎใหม่ก็คือ การพัฒนาตัวรถที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งฤดูกาลด้วยความที่รถนั้นยังใหม่และยังมีจุดให้พัฒนาได้หลายจุด
นอกจากนั้นพวกเขายังต้องเหลือบไปส่องคู่แข่งอีกด้วย เนื่องจากมีหลายครั้งที่คอนเซ็ปของบางทีมทำออกมาได้มีประสิทธิภาพจนทีมอื่นๆ ต้องก็อปปี้นำมาปรับใช้กับรถของตัวเอง และนั่นนำไปสู่การแกว่งของผลงานในแต่ละทีมตลอดทั้งฤดูกาล
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในปี 2009 เมื่อ Brawn GP กลายเป็นม้ามืดทำผลงานได้เหนือกว่าคู่แข่งชนิดขาดลอย ในขณะที่ตัวเต็งที่แย่งแชมป์โลกในปีก่อนหน้านั้นอย่าง Ferrari และ McLaren ต่างประสบปัญหากับการปรับใช้กฎใหม่ให้เข้ากับรถของตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านไปครึ่งฤดูกาล McLaren กลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง โดย Lewis Hamilton คว้าชัยไปได้ 2 ครั้ง และยังขึ้นโพเดียมได้อีก 3 ครั้ง ในขณะที่ Ferrari ก็กลับมาชนะได้เช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าบางทีมจะเริ่มต้นได้แย่ในตอนต้นฤดูกาล แต่กับกฎใหม่ที่พึ่งนำมาใช้หมาดๆ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ทีมแข่งเหล่านั้นจะพลิกสถานการณ์กลับขึ้นมาได้เช่นกัน
- ประสบการณ์และการปรับตัวจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักแข่ง
จากการที่ตัวรถนั้นจะต้องถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วในระหว่างฤดูกาล นักแข่งก็จะต้องรีบเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับรถให้ได้มากที่สุด นั่นจึงจะทำให้พวกเขาสามารถดึงเอาศักยภาพรถออกมาได้มากที่สุด
รถในปี 2022 นั้นจะสร้างดาวน์ฟอร์ซในวิถีทางที่แตกต่างจากรถปีที่ผ่านๆ มา ดังนั้นนักแข่งจะต้องเรียนรู้คาแร็คเตอร์ของรถที่เปลี่ยนไป ในขณะที่ทีมงานก็ต้องหาเซตอัพที่ดึงศักยภาพตัวรถออกมาให้ได้สูงสุด นี่ยังไม่รวมถึงการเรียนรู้ล้อใหม่ขอบ 18 นิ้ว ซึ่งก็น่าจะทำให้การควบคุมรถเปลี่ยนไปคาดเดาไม่ได้อีก
ในช่วงเวลาที่ต้องมีการเรียนรู้มากมายเช่นนี้ ประสบการณ์จะมีส่วนสำคัญอย่างมาก นักแข่งอย่าง Lewis Hamilton, Fernando Alonso และ Sebastian Vettel พวกนี้ได้ขับรถที่มีการเปลี่ยนแปลงมาในแต่ละยุคสมัย พวกเขามีความรู้ความเข้าใจในการปรับตัวและการทำงานกับรถใหม่ ซึ่งนั่นจะทำให้นักแข่งเหล่านี้ได้เปรียบนักแข่งที่อ่อนประสบการณ์
- ผลกระทบจากการจำกัดงบประมาณ
ถึงแม้ว่ากฎจำกัดงบประมาณจะถูกใช้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากรถในปี 2021 นั้นถูกล็อคการพัฒนา ทีมจึงโฟกัสกับการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้เข้ากับงบที่ถูกจำกัดไปเสียมากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในปีนี้ทีมแข่งต้องออกแบบและสร้างรถคันใหม่ขึ้นมาภายใต้งบประมาณที่ถูกจำกัด นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะลองอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างที่เป็นมา และอาจต้องเลือกให้ความสำคัญกับบางคอนเซ็ป รวมทั้งอาจจะต้องหยุดการพัฒนาบางอย่างไปเลยหากพวกเขาใช้เวลาไปกับมันสักพักแล้วไม่เห็นผล
- นักแข่งคู่ใหม่ใน Mercedes
ทีมแข่งแชมป์โลกอย่าง Mercedes จะมีการเปลี่ยนแปลงนักแข่งคู่ใหม่ในปีนี้ Valtteri Bottas ที่ขับให้กับทีมมาตั้งแต่ปี 2017 ได้ย้ายออกไป และพวกเขาดัน George Russell ขึ้นมาขับคู่กับ Lewis Hamilton
เรียกได้ว่าการจับคู่นักแข่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการแข่งขัน นักแข่งทั้งสองนั้นควรจะทำงานเข้าขากันและช่วยกันผลักดันให้ทีมไปข้างหน้า ซึ่งทีมก็จะตอบแทนด้วยการมอบรถแข่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา ในปีที่ผ่านๆ มานั้น Bottas ได้ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนผลักดันผลงานของ Hamilton เสมอมา แต่กับ Russell ซึ่งถูกดึงตัวเข้ามาเพื่อเป็นอนาคตของทีมคนถัดไปนั้น นั่นทำให้บรรยากาศการทำงานระหว่าง 2 นักแข่งเปลี่ยนไป
เราได้เห็นเหตุการณ์ที่นักแข่งทั้งสองไม่ลงรอยกันจนทำให้ทีมแตกมาแล้วอย่าง McLaren ในปี 2007 ระหว่าง Lewis Hamilton และ Fernando Alonso และการมาของ Russell นั้นอาจไม่ถึงขั้นทำให้ทีมแตก แต่ก็น่าจะทำให้บรรยากาศภายในทีมระอุกว่าปีที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน
- Red Bull ได้กลายเป็นผู้ดูแลเครื่องยนต์เองในปีนี้
Red Bull ได้เทคโอเวอร์โปรเจ็คต์เครื่องยนต์ของ Honda ซึ่งได้ออกจากวงการหลังจบปี 2021 และก่อตั้งแผนก Red Bull Powertrain เพื่อดูแลจัดการเครื่องยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกนี้มีดีพอที่จะส่ง Max Verstappen ให้เป็นแชมป์โลกคนล่าสุด
การที่มีเครื่องยนต์เป็นของตัวเองนั้นถือเป็นความได้เปรียบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ค่ายเครื่องยนต์ทั้ง Mercedes และ Ferrari ต่างประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่พวกเขามีความยืดหยุ่นในการปรับดีไซน์ระหว่างชาสซีส์และเครื่องยนต์ นั่นเป็นเหตุผลให้ Red Bull ตัดสินใจเทคโอเวอร์โปรเจ็คต์เครื่องยนต์มาจาก Honda เพื่อที่พวกเขาจะได้ดึงประสิทธิภาพในการติดตั้งเครื่องยนต์ออกมาให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามมันก็มีความท้าทายอย่างมากที่ Red Bull ซึ่งเดิมทีไม่ใช่ค่ายผู้ผลิตเครื่องยนต์ต้องมาจัดการกับเครื่องยนต์ และมันจะมีผลกับอันดับทันทีหากพวกเขาเกิดเดินไปผิดทาง
- ล้อขอบ 18 นิ้ว
ในบรรดารูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปของรถแข่งปี 2022 ล้อรถนั้นถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด Pirelli จะใช้ล้อขอบ 18 นิ้ว ในปีนี้ แทนที่ขอบเดิมซึ่งมีขนาด 13 นิ้ว เพื่อให้เข้ากับรายการรถแข่งอื่นๆ และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่รถบ้านได้ง่ายขึ้น
แน่นอนว่าขอบล้อที่เปลี่ยนไปทำให้คาแร็คเตอร์ของรถเปลี่ยนตามเช่นเดียวกัน ซึ่งล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนี้จะช่วยให้นักแข่งเค้นรถกันได้นานขึ้นโดยที่ยางนั้นจะไม่ร้อนหรือสึกเร็วเกินไป นอกจากนั้นแก้มยางที่เตี้ยลงยังหมายความว่าทีมแข่งต้องปรับเซตการซับแรงจากแทร็คและเคิร์บของช่วงล่างใหม่อีกด้วย
และทั้งหมดนี้คือตัวแปรหลัก 8 อย่างที่มีผลต่อผลงานของทีมขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาไปถูกหรือผิดทาง
อ้างอิง : formula1.com