ใกล้จะถึงบทสรุปแล้วสำหรับบทลงโทษของ Red Bull ที่ใช้งบประมาณ ‘เกินกว่ากำหนดมาเล็กน้อย’ โดย FIA เตรียมที่จะประกาศบทลงโทษในวันนี้ แต่ก่อนหน้านั้น เราลองมาดูกันก่อนว่า หากทีมแข่ง F1 ได้งบประมาณที่เพิ่มขึ้นไม่กี่ล้านเหรียญสหรัฐ พวกเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?
ในปี 2021 FIA ได้กำหนดให้ทีมแข่ง F1 มีการจำกัดงบประมาณในการทำทีมอยู่ที่ 145 ล้าน เหรียญสหรัฐ ซึ่ง Red Bull ถูกรายงานว่ามีการใช้งบประมาณเกินกว่ากำหนดไปราว ๆ 1 – 4 ล้าน เหรียญสหรัฐ ด้วยเงินจำนวนนั้นกับศักยภาพทีมงานระดับโลก เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้
- พื้นรถและปีกใหม่ – $300,000
ในปี 2021 Mercedes นั้นมีการอัปเกรดชิ้นส่วนรถขนานใหญ่ถึงแค่รายการ British Grand Prix ในเดือนกรกฎาคม ในขณะที่ Red Bull นั้นทำการอัปเกรดรถอย่างต่อเนื่องจนถึงสนามสุดท้ายรายการ Abu Dhabi Grand Prix นั่นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของ Lewis Hamilton มาโดยตลอด โดยเขาที่เสียแชมป์โลกในปี 2021 ไปให้กับ Max Verstappen จาก Red Bull ได้ยืนยันกับสื่อว่า หาก Mercedes ใช้เงินเกินจากงบที่ถูกกำหนดมาอีกเล็กน้อย มันจะเปลี่ยนผลการลุ้นแชมป์โลกในสนามสุดท้ายได้เลย
“หากเราใช้เงินเพิ่มขึ้นอีก 3 แสน เหรียญสหรัฐ กับพื้นรถและปีกใหม่ มันจะเปลี่ยนผลของการลุ้นแชมป์โลก เพราะเราจะต่อสู้ได้ดีขึ้นในการแข่งขันสนามถัด ๆ ไป (หลังจากที่ทำการอัปเกรด)” Hamilton กล่าวกับสื่อ Sky Sport
- แชสซีส์ใหม่ – ประมาณ $1,000,000
แชสซีส์ของรถแข่ง F1 นั้นราคาไม่เบาเลยทีเดียว แน่นอนว่าไม่มีทีมใดอยากเปลี่ยนแชสซีส์บ่อย ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ Mick Schumacher ทำมาแล้ว 2 ครั้ง กับการชนหนักทั้ง 3 ครั้ง ของเขา ที่ ซาอุดิอาระเบีย, โมนาโก, และ ญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่ Haas ซึ่งเป็นทีมแข่งที่คาดว่าจะมีงบประมาณน้อยกว่างบที่ถูกจำกัดเสียอีก จะแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ระหว่างชุดเกียร์และบอดี้ทั้งหมดพังเรียบ ตัวดักอากาศเข้าหม้อน้ำหายไป ดังนั้นมันมีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่างครึ่งล้านถึงหนึ่งล้าน ผมคงจะพูดอย่างนั้น” Steiner ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ Schumacher ชนหนักที่เจดดาห์
- ความเสียหายจากการชนหนัก – ประมาณ $1,800,000
การชนหนักอาจเป็นคำอธิบายข้อหนึ่งที่ทำให้ทีมแข่งฝ่าฝืนข้อจำกัดด้านงบประมาณ ถึงแม้ว่าการชนนั้นจะไม่ได้มีสาเหตุต้นตอมาจากทีม ๆ นั้นก็ตาม ดูเคสของ Max Verstappen เป็นตัวอย่างได้
นักแข่งดัตช์มีการชนหนักที่บากู จากการที่ยางล้อหลังของเขาแตก และการชนกับ Hamilton ที่ Silverstone ก็ทำให้ต้นสังกัดของเขาต้องใช้งบประมาณราว ๆ 1.8 ล้าน เหรียญสหรัฐ ในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย
ทางด้านเพื่อนร่วมทีมของนักแข่งดัตช์อย่าง Sergio Perez เขาก็มีการชนกับ Valtteri Bottas นักแข่ง Mercedes เช่นกัน ที่ฮังการี การชนทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนักแข่ง Red Bull นั้นมีต้นตอมาจากนักแข่ง Mercedes แต่ Red Bull ไม่สามารถที่จะไปเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ และต้องใช้งบของตัวเองในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น
- แชสซีส์น้ำหนักเบา – ประมาณ $2,000,000
Toto Wolff ทีมบอส Mercedes เป็นผู้เปิดเผยออกมาว่า การพัฒนาและผลิตแชสซีส์น้ำหนักเบาออกมานั้นจะทำให้ทีมแข่งของเขาต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2 ล้าน เหรียญสหรัฐ และนั่นเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Red Bull ได้มีการใช้แชสซีส์น้ำหนักเบานับตั้งแต่การแข่งขันที่ Spa เป็นต้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ Red Bull ปฏิเสธสมมุติฐานนั้น
“เราไม่สามารถที่จะผลิตชิ้นส่วนน้ำหนักเบาสำหรับตัวรถ เพื่อที่จะกดน้ำหนักที่เกินมาด้วยตัวเลข 2 หลักได้ เพราะเราไม่มีงบประมาณที่จะทำ ดังนั้นเราจึงต้องทำมันกับรถในปีถัดไป” Wolff อธิบาย
“เราไม่สามารถที่จะผลิตแชสซีส์น้ำหนักเบาออกมาใช้ได้ เพราะมันจะทำให้ค่าใช้จ่ายเกินข้อกำหนดที่เราบริหารไว้ไป 2 ล้าน เหรียญสหรัฐ ดังนั้นคุณจะเห็นแล้วว่า การใช้งบประมาณเกินกว่าข้อจำกัดนำมาซึ่งข้อได้เปรียบทางด้านประสิทธิภาพ”
- อัปเกรดตลอดทั้งฤดูกาล – $2,000,000 – 4,000,000
จำนวนเงิน 4 ล้าน เหรียญสหรัฐ นี้ มันมากพอที่จะทำให้ทีมแข่งอัปเกรดรถได้ตลอดทั้งฤดูกาล เป็นคำกล่าวจาก Mattia Binotto ทีมบอส Ferrari ดังนั้น การฝ่าฝืนกฎงบประมาณแบบ ‘Minor Overspend’ ที่ Red Bull ถูกตีความผิดจาก FIA มันสามารถครอบคลุมงบประมาณได้ถึง 7.25 ล้าน เหรียญสหรัฐ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมทั้ง Wolff และ Binotto ถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนกันขนาดนี้
“สำหรับเรา 4 ล้าน เหรียญสหรัฐ สามารถทำให้เราพัฒนารถได้ตลอดทั้งฤดูกาล 4 ล้าน หมายถึงทีมงานจำนวน 70 คน ในแผนกเทคนิค ที่พร้อมจะเสนอไอเดียในการสร้างผลลัพธ์ของการทำให้รถเร็วขึ้นครึ่งวินาทีต่อรอบ” Binotto กล่าว
อ้างอิง : crash.net