นับตั้งแต่เจ้าใหญ่อย่าง BYD เปิดสงครามราคาให้ตลาดรถยนต์อีวีกลับมาระอุอีกครั้งด้วยการมอบส่วนลดเงินสดสูงสุดกว่า 160,000 บาท
สำหรับ BYD Dolphin กับแคมเปญดุ BYD DOLPHIN DAY RUN OUT Campaign ดอลฟิน ดีลฟินๆ ที่สุดแห่งปี ลดราคาลงจากเดิม 140,099 และ 160,099 บาท ดังนี้
- รุ่น Standard Range ราคาเพียง 559,900 บาท (จากราคา 699,999 บาท)*
- รุ่น Extended Range ราคาเพียง 699,900 บาท (จากราคา 859,999 บาท)*
พร้อมสิทธิพิเศษ RÊVER Care แถมฟรีทุกรายการไม่ว่าจะเป็น
- ติดตั้งฟิล์ม Ceramic ยี่ห้อ XUV MAX
- ฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อมพรบ.(ประเภทรถยนต์ส่วนบุคคล) เป็นระยะเวลา 1 ปี จากบริษัทประกันภัยชั้นนำที่ร่วมรายการ
- ฟรีสายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า (V-to-L)
- ฟรีสายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger
- ฟรีค่าจดทะเบียนรถ
- ฟรีพรมผ้ายาง
- ฟรีกรอบป้ายทะเบียน
- ฟรีฟิล์มกันรอยหน้าจอกลาง
- ดอกเบี้ยพิเศษ 1.98% สำหรับเงินดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน
- รับประกันตัวรถ (Warranty) 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน
- รับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง (High Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปี
โดยเปิดให้จองที่โชว์รูม BYD ทั่วประเทศวันที่ 22 มิถุนายน เวลา 9.00 น. และแคมเปญนี้ตั้งแต่วันที่ 22-30 มิถุนายน หรือจนกว่าสินค้าจะหมด เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
BYD Dolphin มาพร้อมเทคโนโลยี BYD Blade Battery สามารถจัดเก็บพลังงานและให้ระยะการขับเคลื่อนสูง ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ permanent magnet synchronous motor มีความจุแบตเตอรี่ 44.9 kWh แรงสุด 95 แรงม้า แรงบิด 180 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 410 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 12.3 วินาที การชาร์จผ่านไฟ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 7 kW 0-100% ภายใน 6.45 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC รองรับการชาร์จสูงสุด 60 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลาเพียง 29 นาที
รุ่นท็อปสุด Extended Range ใช้ความจุแบตใหญ่ขึ้นเป็น 60.48 kWh ซึ่งความจุแบตเทียบเท่ากับ BYD ATTO 3 แรงสุด 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 7 วินาที วิ่งไกลสุด 490 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) การชาร์จผ่านไฟ AC รองรับการชาร์จสูงสุด 7 kW 0-100% ภายใน 9 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC รองรับการชาร์จสูงสุด 80 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลาเพียง 29 นาที
ทั้งคู่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Speed พร้อมโหมดการขับขี่สามโหมดทั้ง Eco, Standard และ Sport พร้อมระบบดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Braking) ใช้หัวชาร์จแบบ Type 2 / CCS Combo ยังมีระบบเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 2000w ทำให้รถสามารถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆได้ พร้อมช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีมในรุ่น Standard Range และ อิสระสี่ล้อในรุ่น Extended Range
พร้อมความสบายมากมายด้วยสีทูโทนเช่นเดียวกับตัวถังภายนอกดีไซน์ที่ดูล้ำสมัย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน มือจับเปิดประตูออกแบบคล้ายครีบของโลมาจอในส่วนของอุปกรณ์ Infotainment ใหญ่เต็มตาด้วยขนาด 12.8 นิ้ว สามารถหมุนจอได้ เบาะหลังสามารถพับได้ในอัตราส่วน 40:60 มีพื้นที่มากถึง 1,310 ลิตรในกรณีพับเบาะแต่ถ้าไม่พับเบาะมีพื้นที่ 345 ลิตร พร้อมเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 พร้อม CN95 Filter ให้ผู้ใช้รถได้มีอากาศบริสุทธิ์ในทุกการขับขี่ พร้อมระบบเสียงดนตรีที่มีการออกแบบสัญญาณเสียงที่จำลองมาจากทะเล และกลไกการล็อกมากถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ การล็อกและปลดล็อกด้วยกุญแจรีโมท, บัตร NFC, BYD Application, กุญแจไข และแบบไม่มีกุญแจ (Keyless Entry)
มากันที่คู่แข่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหั่นราคานั่นก็คือ NETA V-II เริ่มส่งมอบกันไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมาพร้อมรับข้อเสนอพิเศษโดยเป็นไปตามที่บริษัทฯ ถึง 30 มิถุนายน ดังนี้
- ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครอง 1 ปี
- ฟรี! เครื่องชาร์จ NETA WALLBOX พร้อมค่าติดตั้ง จำนวน 1 ชุด
- ฟรี! ชุดพรมปูพื้น
- ฟรี! รับประกันรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- ฟรี! รับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- ฟรี! ค่าแรงและค่าอะไหล่รถยนต์เมื่อเช็คระยะ 6 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
“NETA V-II” สะดวกสบายและมั่นใจในการขับขี่ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน โดดเด่นด้วยหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlayTM พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล ขนาด 12 นิ้ว ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย กุญแจแบบสมาร์ทคีย์พร้อมระบบ Ride & Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถ
ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานด้วยมอเตอร์ขนาด 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) ให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 382 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มตามมาตรฐาน NEDC สำหรับ รุ่น SMART มาพร้อมระบบช่วยในการขับขี่ ADAS รวม 8 ระบบ มีให้เลือก 2 รุ่น
- รุ่น LITE ราคาจำหน่าย 549,000 บาท
- รุ่น SMART ราคาจำหน่าย 569,000 บาท
และน้องใหม่จากค่าย WULING โดย EV Primus ที่เตรียมเปิดตัวในวันที่ 8 กรกฎาคม แต่โดนทาง BYD ดักคอไว้กับการหั่นราคา ด้วย WULING BINGUO หน้าตาน่ารักสร้างจากพื้นฐาน SGMW Global Small Electric Vehicle พร้อมภายในนำสมัยตั้งแต่จอคู่ลอยตัวที่มีทั้งมาตรวัดดิจิทัล และจอสัมผัสเชื่อมต่อระบบความบันเทิงขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมลำโพง 4 จุด ในชุดคอนโซลหน้าดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูมีเสน่ห์ตกแต่งด้วยโครเมียมเบาะนั่งสบาย 5 ที่นั่ง ด้านคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง ที่มีพื้นที่วางขาด้านหลังแบบเรียบไม่มีอุโมงค์วางขา เบาะนั่งยังพับเก็บได้แบบ 50/50 เพิ่มพื้นที่ในการขนของรวมถึงอุโมงค์ที่เคยวางยางอะไหล่กลายเป็นช่องใส่ของอเนกประสงค์ โดยมีพื้นที่วางของมากถึง 790 ลิตรหลังพับเบาะหลัง
นำมาขายสองรุ่นย่อยทั้งรุ่น Standard Range 333AC และ Standard Range 333DC ด้วยขุมพลังไฟฟ้าล้วนมาแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าให้ความจุแบตขนาดใหญ่ lithium ferro-phosphate (LFP) 31.9 kWh ให้กำลังสูงสุด 68 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งได้ไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 333 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC โดยในรุ่น Standard Range 333DC รองรับการชาร์จกระแสตรง DC ซึ่งใช้ระยะเวลาการชาร์จจากแบตเตอรี่จาก 30-80% เพียง 30 นาที อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังสูงสุด 7kw ที่จะชาร์จไฟเต็มในเวลา 4.5 ชั่วโมง
มาพร้อมโหมดการขับขี่เลือกได้ถึงสี่โหมดทั้ง ECO, ECO +, Sport, และ Normal และเกียร์อัตโนมัติ Single Reduction Gear ความปลอดภัยทั้งที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ควบคุมการทรงตัว ESC ตรวจวัดลมยาง TPMS ดิสก์เบรกสี่ล้อ และ ISOFIX เสริมที่นั่งเด็ก
คาดว่าราคาจำหน่ายจะเริ่มต้นที่ 5 แสนต้นถึง 5 แสนกลางๆ พร้อมแพ็คเก็จโปรโมชันที่จะเปิดตัวในวันดังกล่าว ล็อตแรก 500 คันจากอินโดนีเซียได้เข้าสู่กระบวนการขนส่งมายังไทย คาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบก่อนการกระจายไปยังโชว์รูมทั่วประเทศ จับตากลุ่มตลาดรถอีวี B-Segment Hatchback จะดุเด็ดเผ็ดมันส์ขนาดไหนและคู่แข่งจะรับมือกับสงครามราคาครั้งนี้อย่างไรต้องติดตาม