Ferrari Daytona SP3 ไฮเปอร์คาร์รุ่น Limited ที่มาพร้อมไฟหน้าแบบ Pop-up และเครื่องยนต์ V12 829 แรงม้า
เปิดตัว Daytona SP3 ไฮเปอร์คาร์ที่ผลิตจำนวนจำกัด ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นที่ 3 ของซีรีส์ Icona ต่อจาก Monza SP1 และ SP2 โดยไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้ได้รับการออกแบบเพื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะในอันดับที่ 1-2-3 ของ Ferrari ในรายการ 24 Hours of Daytona เมื่อปี 1967
ดูเหมือน La Ferrari Aperta ที่มีการออกแบบใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Flavio Manzoni และทีมของเขา ซึ่งนักออกแบบของ Ferrari ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงโค้งมนของ P3/4, P330 และ 412P แต่อย่างไรก็ตาม ทีมออกแบบได้เพิ่มจุดยืนที่ดุดันกว่าและมีขอบต่างๆที่คมชัดกว่า
ที่ด้านหน้าจะมีดิฟฟิวเซอร์ที่โดดเด่นและ “กันชน” ที่อ้างอิงถึง 330 P4 (1967) ขณะที่ด้านหน้าที่แหลมคมเเละอยู่ต่ำกว่าซุ้มล้อที่นูนก็ชวนให้นึกถึงรถแข่ง Ferrari ในอดีต ต่อด้วยไฟหน้าแบบ LED ที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและกลไกแบบ Pop-up พร้อม “เปลือกตา” ที่หดได้ ซึ่งเหมือนการอ้างอิงจากรุ่นก่อนๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการออกแบบในรูปทรงเส้นแนวนอนที่ช่องไอดีด้านหน้า
ที่ด้านข้างจะพบประตูแบบปีกผีเสื้อที่รวมเอาช่องรับอากาศและดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 512 S พร้อมด้วยกระจกหน้าที่โค้งมนและกระจกมองข้างที่ซุ้มล้อหน้าที่ช่วยให้เกิดรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยล้อ 5 ก้านอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมยาง Pirelli P Zero Corsa รุ่นพิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ
ด้านท้ายนั้นจะเป็นมุมมองที่น่าทึ่งที่สุดของรถที่มอบกลิ่นอายที่ย้อนยุคอย่างแท้จริง ด้วยแถบไฟ LED แนวนอนที่รวมอยู่ใต้การออกแบบในสไตล์ใบมีดจำนวนมากที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเหนือดิฟฟิวเซอร์หลังแบบคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมชุดท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ช่วยส่งเสียงอันไพเราะของเครื่องยนต์ V12 ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังใต้ฝาครอบโลหะที่สวยงามพร้อมช่องระบายความร้อน
ที่ภายในจะพบเบาะนั่งแบบตายตัวที่ถูกรวมเป็นส่วนสำคัญของห้องโดยสารที่ผสานรวมเข้ากับคอนโซลกลางและธรณีประตู ซึ่งการออกแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งในยุค 60 ที่ผู้ขับขี่จะนั่งบนเบาะที่ติดกับแชสซีโดยตรง ทำให้ Daytona SP3 มีตำแหน่งการขับขี่ที่ต่ำมากกว่า Ferrari รุ่นอื่นๆ
ที่คอนโซลหน้าจะมีแผงมาตรวัดดิจิตอลขนาด 16 นิ้วแบบโค้ง ที่รวมระบบสาระบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันพร้อมด้วยการตกแต่งด้วยหนังกลับ พวงมาลัยที่ดูคล้ายกับ La Ferrari ด้วยปุ่มหมุน Manettino เพียงปุ่มเดียวและปุ่มตัวช่วยต่างๆที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆของรถได้ถึง 80% โดยไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย ส่วนองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมอีกประการหนึ่งคือคันเกียร์และการตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์แบบเปลือยจำนวนมาก
ตัวถังโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์ร่วมกับ La Ferrari แต่จะทิ้งระบบส่งกำลังแบบไฮบริดไป เพื่อให้ได้ความดั้งเดิมมากขึ้น
เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร ที่มีรหัสว่า F140HC ที่มีพื้นฐานมาจาก 812 Competizione แต่มีการปรับปรุงจำนวนมาก โดยเน้นไปที่ไอดีและไอเสีย ทำให้เป็นเครื่องยนต์สันดาปที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาจาก Ferrari ที่ให้กำลัง 829 แรงม้าที่ 9,250 รอบต่อนาทีและแรงบิด 697 นิวตันเมตรที่ 7,250 รอบต่อนาที พร้อม Redline ที่ 9,500 รอบต่อนาที ซึ่งกำลังทั้งหมดจะถูกส่งไปยังเพลาล้อหลังผ่านกระปุกเกียร์คลัตช์คู่ F1 7 จังหวะ พร้อมเฟืองท้ายแบบ Limited-Slip
ด้วยที่กล่าวมา ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 2.85 วินาทีและจาก 0-200 กม./ชม. ใน 7.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดนั้นมากกว่า 340 กม./ชม.
ทั้งนี้ Limited Edition เพียง 599 คันเเละแต่ละคันมีราคาประมาณ 2 ล้านยูโรหรือราวๆ 74 ล้านบาท ไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม SOLD OUT ไปเป็นที่เรียบร้อย!!!
Source: carscoops.com
