ตลาดรถอเนกประสงค์พื้นฐานกระบะหรือ PPV (Pickup Passenger Vehicle) ได้รับความนิยมจากคนไทยมาช้านานนับตั้งแต่ดัดแปลงโดยฝีมือคนไทย
จนมาถึงยุคเจ้าของแบรนด์ผลิตโดยตรงหลายค่ายด้วยความโดดเด่นของห้องโดยสารใหญ่ที่จุคนได้มากกว่าพร้อมออพชั่นอำนวยความสะดวกแบบรถเก๋งผนวกกับความแข็งแกร่งทนทานบุกป่าฝ่าดงแบบรถกระบะจึงผสมผสานรวมกันเป็นรถอเนกประสงค์หรือ PPV นั่นเองและในปีเสือนี้กลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อค่ายรถยนต์ Ford จากแดนมะกันเปิดตัวรถ PPV เจนเนอเรชั่นใหม่กับ Ford Everest ซึ่งยังคงเป็รถที่ได้รับการพัฒนามาจาก Ford Ranger เจนเนอเรชั่นใหม่เช่นเดิม โดยเปิดตัว เปิดราคาและรับจองอย่างเป็นทางการที่งาน Bangkok Motor Show 2022 ที่ผ่านมา จนมียอดจองทั้งประเทศมากกว่า 914 คัน และหมายหมั้นปั้นมือว่าจะขยับยอดขายไล่เลี่ยกับคู่แข่งให้มากขึ้น โดยเฉพาะ ISUZU MU-X และ Toyota Fortuner ที่เป็นเจ้าตลาด
ในขณะที่เจ้าตลาดอย่าง Toyota Fortuner เจนเนอเรชั่นที่สองนั้นทำตลาดในไทยมานาน 7 ปี ปรับเปลี่ยนออพชั่นหน้าตามาหลายครั้งแต่ก็ไม่ทำให้หนุ่มเท่จากค่ายสามห่วง สะเทือนแต่อย่างใดยังผูกขาดกับตำแหน่งยาวนานและด้วยความนิยม ความสนใจของรถ PPV สองรุ่นนี้ทาง Car2Day จึงจับมา Face2Face กันอีกครั้งกับที่สุดยอดรถ PPV แห่งยุค จากสองค่ายยอดนิยม รุ่นท็อปสุดขับเคลื่อนสี่ล้อ เริ่มกันที่
ภายนอกหรูหล่อคนละแบบ
Ford Everest เจเนอเรชั่นใหม่รุ่นท็อป Titanium+ 4WD ผสานสมรรถนะเข้ากับความสะดวกสบายอันเหนือระดับและเทคโนโลยีที่พร้อมลุย หรูหรา และสนุกในทุกการเดินทางรูปโฉมภายนอกได้รับการพัฒนาให้มีความแข็งแกร่ง ดุดัน พร้อมลุยทุกเส้นทาง เริ่มที่ บนไฟหน้า Matrix LED ใหม่พร้อมไฟ DRL แบบ LED รูปตัว C และลายเส้นอันทรงพลังบนกระจังหน้าโครเมี่ยม ส่วนหน้าของรถยังมีการผสมผสานขององค์ประกอบที่มีทั้งแนวตั้งและแนวนอนกับไฟตัดหมอกหน้า LED เส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถเน้นการออกแบบตัวถังที่สะดุดตา กับช่องระบายอากาศตรงบังโคลนสองข้างเข้มพร้อมตราตัวหนังสือ Bi-Turbo ราวหลังคาแบบ Built-In เพื่อความสวยงาม รองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัมขณะรถจอดอยู่กับที่ และรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่พร้อมจุดยึดที่รองรับการใช้งานหลากหลายเหมาะสำหรับการติดตั้งหรือใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ ส่วนล้ออัลลอยมาพร้อมขนาดใหญ่สุด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20 ไฟท้าย LED กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ปรับพับด้วยไฟฟ้าสไตล์โครเมี่ยมพร้อมไฟส่องข้างตัวรถ กล้องมองภาพรอบคันแบบ 360 องศา แต่สัญญาณะกะระยะการจอดให้มาหน้า-หลังรวมกัน 8 จุด ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้ายื่นไปที่ใต้กันชนท้าย และระบบป้องกันการหนีบ
ด้าน Toyota Fortuner GR Sport ถึงจะอยู่ตลาดนานแต่ดีไซน์ยังมีเสน่ห์ด้วยความปราดเปรียวสปอร์ต ดุดิบ เด่นด้วยเสา A ที่มาแนวตรงจนมาเล่นระดับตั้งแต่เสา C จนถึงเสา D อันนี้คือเสน่ห์อีกจุดที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยกระจังหน้าสปอร์ตดำเงาไส้ในแบบรังผึ้ง พร้อมสัญลักษณ์ GR ตรงขอบช่องระบายอากาศในชุดกันชนหน้าตกแต่งแบบสีดำเงาสลับกับสีเดียวกับตัวรถ กรอบไฟตัดหมอกหน้าสีดำเงาฝังด้วยไฟตัดหมอกหน้า LED ทรงเล็กพร้อมปีกสีเดียวกับตัวรถแนวนอนเด่นชัดขึ้นมาทันที ไฟหน้า Full LED แบบ Dual Projector พร้อม Daytime Running Lights ในโคมเดียวกัน ไฟเลี้ยวแบบวิ่ง Sequential อยู่ใต้ขุดไฟตัดหมอก ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding บ่งบอกสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ที่เปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวที่งานนี้มาแบบสีดำเงาพร้อมหลังคารถสีดำ ราวหลังคาเพรียวลง ล้ออัลลอยดีไซน์เข้ม ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/60R20 สปอยเลอร์หลังออกแบบใหม่ดีไซน์สปอร์ต ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซ็นเซอร์เปิดฝาท้ายแบบสามารถใช้เท้าเตะได้ Kick Activated และระบบป้องกันการหนีบ กล้องมองภาพรอบคันแบบ 360 องศา แต่สัญญาณะกะระยะการจอดให้มาหน้า-หลังแค่ 6 จุด
มิติตัวรถ
เมื่อมามองมิติตัวรถทั้งสองรุ่นนี้จะพบว่าความใหม่สดของ Ford Everest Titanium+ 4WD ทำให้มีมิติที่มากกว่า Toyota Fortuner GR Sport อย่างชัดเจน โดยความยาวตัวรถ Everest ยาวกว่า 119 มม. ความกว้าง Everest กว้างกว่า 68 มม. ความสูง Everest สูงกว่า 7 มม. น้ำหนักรถ Everest มากกว่า 342 กก. ฐานล้อ Everest มากกว่า 150 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ Everest สูงกว่า 28 มม. แต่ความจุถังน้ำมันเท่ากัน
ภายในหรูสปอร์ตคนละแบบ
ถึงแม้ตัวรถของ Ford Everest Titanium+ 4WD เจนใหม่ยังคงใช้พื้นฐานเดิมจากเจนที่แล้วแต่มีการปรับรายละเอียดหลายๆอย่างให้แตกต่างและโดดเด่นการใช้วัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light ในทุกส่วนที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดพร้อมสอดรับกับฟังก์ชั่นอื่นๆหลายส่วน ตั้งแต่แผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า ระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติหุ้มด้วยหนังสวยงามจับถนัดมือ พร้อมเบรกไฟฟ้าและ Auto Hold เบาะนั่งคู่หน้าทั้งคนขับและคนนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และเบาะนั่งแถว 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 โดยเลื่อคล้ายรถกระบะตอนครึ่งไม่สามารถพับแบบวันทัชตาม Fortunerได้ ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งทำให้รถจุผู้โดยสารได้ 7 คน แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับได้แบบไฟฟ้าที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ ยกระดับอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสารและเทคโนโลยีอันทันสมัย ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัล 12.4 นิ้ว และยังมีหน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูง 12 นิ้ว มาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโมเด็มมาจากโรงงานเพื่อให้เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน FordPass™ สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อค และปลดล็อคผ่านโทรศัพท์มือถือหน้าจอทัชสกรีนแนวตั้งยังเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา โดยมีหน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ หรือช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการเดินทางบนสภาพเส้นทางที่มีความสมบุกสมบัน และลำโพง 8 จุด แต่มือจับนั้นมีกันแค่ 6 จุด และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าไม่สามารถปรับได้เหมือนเจนเก่า แต่อย่างน้อยยังมี ช่องต่อไฟ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จมือถือ โน้ตบุ๊คได้ มีสวิตช์ควบคุมการทำงานของแอร์หลังได้ และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟสองบานใหญ่
ส่วน Toyota Fortuner GR Sport ยังคงเป็นเอกลักษณ์เช่นเคยด้วยเบาะคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนตอน 2 นั่งสบายปรับเอนเลื่อนได้ พร้อมพับแบบ 60:40 ซึ่งสามารถพับครั้งเดียวทะลุเข้าไปนั่งตอน 3 ได้ ตอน 3 มีพื้นที่สบายเล็กน้อย แต่จุดเสียเปรียบของรุ่นนี้ก็คือเบาะนั่งตอน 3 ที่พับแบบแขวนไปพิงเสา C และ D ซึ่งทำให้การมองเห็นด้านหลังจะบดบัง แต่หุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้ผสมหนังกลับ (Suede) แบบเจาะรูสีดำเดินด้ายสีแดงและพนักพิงศีรษะด้านหน้าติดตรา GR พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านหุ้มหนังเดินด้ายแดง เจาะรู ส่วนบนของพวงมาลัยติดตั้งเส้นตั้งสีแดง Center Mark แถมก้านพวงมาลัยส่วนล่างตกแต่งงสีเงินรมดำ Smoke Silver ติดตราโลโก้ GR และ ปุ่ม Push Start ติดตรา GR เช่นกัน และมาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอ MID สี 4.2 นิ้ว มีตราโลโก้ GR Logo Welcome มาด้วย และฟังก์ชันการใช้งาน ทั้งเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา และแยกส่วนหน้าหลัง ระบบจอสัมผัส 9 นิ้ว Apple Carplay พร้อมชาร์จมือถือแบบไร้สาย ลำโพงเด่นด้วยแบรนด์ JBL 9 ตำแหน่ง 11 ลำโพง ช่องเสียบ USB ช่องเสียบปลั๊กแบบกระแสสลับ AC220V ก็ยังมีไว้ชาร์จมือถือ โน็ตบุ๊คเวลาทำงาน ระบบ T-Connect แจ้งสถานการณ์ทำงานของรถไม่ว่าจะโดนทุบ แจ้งระยะการเข้าศูนย์ หรือสถานการณ์จออดรถกันหลงลืม สามารถเช็คได้ในแอพพลิเคชั่นได้ และที่ขาดไม่ได้กับ ไฟสร้างบรรยากาศภายใน และมือจับ 8 จุด ก็ยังมีให้มากกว่า Everest
กระชากวิญาณพ่อบ้านขาซิ่งกับพลัง 200 ม้าอัพ
รถ PPV ทั้งสองรุ่นโดดเด่นด้วยพลังเทอร์โบที่ให้กำลัง 200 แรงม้าขึ้นไป โดย Ford Everest Titanium+ 4WD เจนใหม่ ยังคงใช้พลัง 2.0 ลิตร Bi-Turbo หรือเทอร์โบคู่ รหัสเดิม YN2Q แต่มีการปรับพลังลดลงเหลือ 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที (เดิม 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดรุ่น 10R80 แบบ แบบ Electronic Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Part-Time พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ normal, โหมดประหยัด, eco, โหมดถนนลื่น slippery, โหมดลากจูงและบรรทุก tow/haul เพิ่มโหมด Terrain Management มาอีกสองโหมดคือ โหมดโคลน mud/ruts และโหมดทราย sand พร้อมดิฟลอ็คแบบไฟฟ้า (Electronic Locking Rear Differential) และเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential
Toyota Fortuner GR Sport ได้พลังที่จัดจ้านกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผันรุ่น 1GD-FTV High ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ / นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Sequential Shift และ Paddle Shift และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD Part-Time มีระบบ Sigma 4 ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC แต่ไม่มีระบบเฟืองท้าย Diff-Lock แต่ให้ระบบ Auto LSD เพียงแค่กดปุ่มปิด TCS ระบบ Auto LSD จะทำงานแค่ 2H เท่านั้น แถมมีการปรับรอบเดินเบาเหลือ 680 รอบ/นาที
ช่วงล่างทั้งสองรุ่นใช้ด้านหน้าแบบ อิสระปีกนกคู่ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังทาง Toyota Fortuner GR Sport เป็นแบบ 4 Link คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วน Ford Everest Titanium+ 4WD เจนใหม่เป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลงด้านโช้คอัพทาง Fortuner GR Sport เป็นแบบโมโนทูบ หน้า-หลัง ส่วน Ford Everest Titanium+ 4WD เจนใหม่ เป็นแบบ โช้คอัพแก๊ส 4 ต้น และรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตรพร้อมพาวเวอร์แบบ VFC (Variable Flow Control) ปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมในทุกช่วงความเร็ว สำหรับ Fortuner ส่วน Everest Titanium+ 4WD เป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program)
ระบบความปลอดภัยมีได้เปรียบเสียเปรียบ
ถึงจะปรับปรุงปรับตัวตนเน้นความสปอร์ต ระบบความปลอดภัยก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วงปกป้องทั้งคนขับและผู้โดยสาร สำหรับ Ford Everest Titanium+ 4WD เจนใหม่ มาครบครันกว่า Toyota Fortuner GR Sport ตั้งแต่ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam Headlamps, กล้องมองรอบคัน 360 องศา 360-Degree Camera, ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist 2.0, ระบบตรวจจับลมยาง Tire Pressure Monitoring System, ควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Intelligent Adaptive Cruise Control (iACC) with Lane Centring, ช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection, เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support, ช่วยควบคุมรถหลังจากชน Post-Impact Braking, ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning ใหม่, ตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking,ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist ใหม่ และช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist ใหม่
พร้อมถุงลมนิรภัย 7 จุดรอบคันรวมใต้เข่าคนขับ, ระบบช่วยโทรฉุกเฉินม สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง,ป้องกันล้อล็อก ABS และกระจายแรงเบรก EBD, ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA, ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM และควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC
สำหรับ Toyota Fortuner GR Sport มาแบบ Toyota Safety Sense ทำงานผ่านระบบเรดาห์ซ่อนอยู่ข้างในโลโก้สามห่วง ทั้ง ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) และเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert) ช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) ช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) แจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด รวมถุงลมนิรภัยใต้เข่าคนขับ ควบคุมการทรงตัว VSC ป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ควบคุมการส่ายเมื่อต้องต่อส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC และกล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor)
ราคาและสีภายนอก
Ford Everest รุ่น Titanium+ 4WD เจนใหม่ มาพร้อมตัวเลือกสีภายนอกมากถึง 6 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีเทา เมทิออร์ เกรย์, สีดำ แอบโซลูท แบล็ก, สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล, สีน้ำตาล เอควิน็อกซ์ บรอนซ์ และสีส้ม เซโดนา ออเรนจ์ ในราคา 1,854,000 บาท มาพร้อมห้องโดยสารภายในโทนเข้มสีดำเป็นมาตรฐาน และโทนอ่อนสีครีมพราลีนเป็นตัวเลือกเสริมซึ่งต้องเพิ่มตังค์อีก 10,000 บาท
Toyota Fortuner GR Sport มีสีภายนอกทั้งหมดแค่ 3 สี ได้แก่ สีแดง Emotional Red หลังคาดำ Black Top สีขาวมุก White Pearl CS หลังคาดำ Black Top (ทั้งสีขาวและสีแดงเพิ่มเงิน 20,000 บาท)และสีดำ Attitude Black Mica ในราคา 1,879,000 บาท
สองรถอเนกประสงค์ PPV ระดับไฮเอนด์ที่ครบครันครบเครื่องทั้งหน้าตา ความภูมิฐาน ความสปอร์ต รวมถึงความสบายแบบ 7 ที่นั่ง แน่นอนว่าทาง Ford Everest เจนใหม่ ได้เปรียบตรงหน้าตาความหรูและพลังเทอร์โบคู่ที่ยังจัดจ้านถึงจะตอนแรงม้าลงไปนิดนึงก็ตาม แต่ความเท่เร้าใจยังไงก็ต้องเป็น Toyota Fortuner GR Sport ถึงตัวรถจะ 7 ปี แต่หน้าทาปากมาเริ่อยๆ แต่ความดิบเถื่อนก็ต้องยกให้เขาอยู่ดี และการทดลองขับก็เป็นอีกปัจจัยที่สนันสนุนให้การตัดสินใจครั้งนี้สำเร็จลงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณเองว่าจะชอบแบบไหนกับส่วนต่าง 25,000 บาท