หลังจากเปิดตัวที่เยอรมนีเป็นที่แรกของโลกสำหรับ Ford Ranger PHEV กระบะแกร่งพลังปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของค่ายที่พร้อมจะทำตลาดต่างประเทศ
Ford Ranger PHEV ด้วยหน้าตาไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและชุดแบตเตอรี่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์มอบความแรงเร้าใจและความประหยัดในคันเดียว
ภายนอก Exterior
โดยมีให้เลือกในรุ่น XLT Sport WILDTRAK และรุ่นพิเศษ STORMTRAK จุดที่เหมือนกันคือช่องเสียบปลั๊ก AC Type 2 บริเวณใกล้กับช่องเติมน้ำมันด้านซ้าย พร้อมบันไดข้างและบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย โดยมีออปชันที่แตกต่างกัน
เริ่มที่รุ่น STORMTRAK เด่นด้วย ไฟหน้า Matrix LED ปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติแถมป้องกันไฟแยงตาและเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ กับไฟวิ่งกลางวัน DRL LED ในโคมเดียวกัน
ราวหลังคาดีไซน์ขนาดใหญ่และสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) ให้ผู้ขับขี่ปรับรูปแบบสปอร์ตบาร์ด้วยเลื่อนจุดล็อกได้ 5 ตำแหน่งด้วยมือเดียวรองรับการติดตั้งหรือขนย้ายอุปกรณ์เพื่อการผจญภัยและการทำงานได้หลากหลายรูปแบบอย่างง่ายดาย
สติ๊กเกอร์ตกแต่งรอบคันที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกตัวตนของคนที่มีใจรักในความสมบุกสมบัน ฝาท้ายแบบผ่อนแรง ไฟหน้า Matrix LED ปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติแถมป้องกันไฟแยงตาและเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ กับไฟวิ่งกลางวัน DRL LED ในโคมเดียวกัน
ช่องระบายอากาศข้างบังโคลนหน้าซ้าย-ขวาออกแบบลวดลายพิเศษ และสีพิเศษ สีเทา Chill Grey และสีดำ Agate Black ล้ออัลลอยลายเข้มหกก้านคู่ขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 255/65R18
ทางด้านรุ่น WILDTRAK ติดตั้งไฟหน้า Matrix LED กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมแบบสีดำเงา แผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง ราวหลังคาดีไซน์ขนาดใหญ่สปอร์ตบาร์ แลล้ออัลลอยลายเข้มหกก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว
ส่วนรุ่น Sport และ XLT เน้นการใช้งานเป็นหลักโดยไร้ราวหลังคาและสปอร์ตบาร์ ไฟหน้า LED พร้อมไฟส่องเวลากลางวัน LED Daytime รูปตัว C ในโคมเดียวกันในชุดกันชนหน้าทรงเข้มติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า LED ไฟท้ายสีขาวแดง LED พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ในรุ่น Sport
ไฟท้ายสีขาวแดงธรรมดาในรุ่น XLT พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วในรุ่น Sport และ 17 นิ้ว พร้อมยาง 255/70 R17 ในรุ่น XLT
ภายใน Interior
แน่นอนว่าอาจคล้ายกับเวอร์ชันเครื่องยนต์ดีเซลแตกต่างกันในแต่ละรุ่นเริ่มที่รุ่น STORMTRAK มาพร้อมลำโพงจากค่าย B&O ถึง 10 จุด พร้อมด้วยโทนสีดำ/เทา ตั้งแต่ชุดแผงคอนโซลหน้าหุ้มหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านคู่หุ้มหนัง และชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดำขลิบเทาปักชื่อเฉพาะ
ส่วนรุ่น WILDTRAK ตั้งแต่ชุดแผงคอนโซลหน้าหุ้มหนังสัมผัส พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านคู่หุ้มหนัง และชุดเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดำขลิบส้ม ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมเบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สายกุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB และ ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร Ambient Light
ระบบความบันเทิงครบครันด้วยหน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 10.1 กับ 12 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android Auto™ สามารถเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมระบบ FordPass ช่องต่อ USB 4 จุด
มาตรวัดดิจิทัลแบบสีขนาด 8 กับ 12.4 นิ้ว พร้อมลำโพง 6 ทิศทาง และช่องต่อไฟ 12V พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold และปุ่ม Push Start และเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter หุ้มหนัง
ทางด้านรุ่น Sport กับ XLT ระบบความบันเทิงครบครันด้วยหน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 10.1 นิ้ว กับมาตรวัดดิจิทัลแบบสีขนาด 8 พร้อมลำโพง 6 ทิศทาง เบาะนั่งคนขับปรับสูงต่ำได้ 6 ทิศทางและด้านผู้โดยสาร 4 ทิศทาง และช่องต่อไฟ 12V พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) เบรกมือคันโยก
สมรรถนะ Performance
ไฮไลท์เด็ดอยู่ที่ขุมพลังแรงด้วยเบนซินเทอร์โบ EcoBoost 2.3 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 302 แรงม้าที่ 5,900 รอบต่อนาที แรงบิด 452 นิวตันเมตรที่ 3,350 รอบต่อนาที คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด 10R80 ขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4WD พร้อมโหมดการขับขี่ Terrain Management System ทั้ง Normal, Eco, Sport, Slippery, Tow/Haul, Mud/Ruts และ Sand
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 102 แรงม้าและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 11.8 kWh โดยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ในชุดร่วมกับชุดเกียร์และแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้ท้องรถมีการออกแบบให้เข้ากับชุดแชสซีเป็นพิเศษเพื่อป้องกันความเสียหายกับชุดแบตเตอรี่เมื่อมีการใช้งานในสภาพเส้นทางทุรกันดาร
เมื่อเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทำงานร่วมกันจะได้กำลังรวมสูงสุด 279 แรงม้า แรงบิด 690 นิวตันเมตร รวมระยะเวลาการชาร์จเพียงให้ข้อมูลว่าโหมดไฟฟ้าสามารถวิ่งไกลสุด 45 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP แน่นอนว่าแรงบิดขนาด 690 นิวตันเมตร ทำให้เป็นรุ่นย่อยของ Ranger ที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบันโดยเหนือกว่ารุ่น Raptor V6 เบนซิน 583 นิวตันเมตร และดีเซล V6 600 นิวตันเมตรนั่นเอง
ถึงจะมีชุดแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาก็ไม่ทำให้ความสามารถในการบรรทุกอ่อนด้อยลงทั้งลากจูงสูงสุด 3,500 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกประมาณ 1,000 กิโลกรัม ความลึกลุยน้ำ 800 มิลลิเมตร รวมถึงโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้ง Auto EV, EV Now, EV Later และ EV Charge พร้อมระบบช่วยลากจูง Pro Trailer Backup Assist ในรุ่น STORTRAK
ทำงานนอกสถานที่อย่างไหลลื่นด้วย Pro Power Onboard หรือ Vehicle-to-load (V2L) จ่ายไฟให้เครื่องมือและเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังไฟสูงในที่ทำงานหรือจุดตั้งแคมป์ระยะไกลได้ เสียบปลั๊กเข้ากับเต้ารับไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในรถจ่ายไฟได้ 2.3 kW เป็นออปชันมาตรฐาน หรือจะเลือกออปชันเสริมกับ 6.9 kW ที่มีเต้ารับ 15 แอมป์ 2 จุด
Ford Ranger PHEV กระบะแกร่งพลัง Plug In Hybrid เริ่มประกอบตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ปี 2024 โดยประกอบที่แอฟริกาใต้ เมืองซิลเวอร์ตัน ส่งขายออสเตรเลียและยุโรปช่วงต้นปี 2025 ส่วนไทยรอกันต่อไป
ที่มา Carsales