กลับมาอึกครั้งหลังจากขายไปเมื่อ 2 ปีก่อนสำหรับ Ford Ranger WILDTRAK X รุ่นพิเศษตกแต่งเหนือกว่า WILDTRAK หวังเอาใจสาวกดุดันชาวจิงโจ้
เหมือนเช่นเคยสำหรับ Ford Ranger WILDTRAK X เป็นการนำรุ่น WILDTRAK มาตกแต่งพิเศษเพิ่มออปชันมาบางรายการสำหรับรุ่นปี 2025
รุ่นนี้เคยได้รับความนิยมจากเจเนอเรชันที่แล้วจนมาถึงเจเนอเรชัน T6.3 สนองคสาวกขาดุที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มกับการอัปเกรดตัวรถเรีกยว่าทำให้เสร็จสรรพจากโรงงานเลยทีเดียว ตั้งแต่ ราวหลังคาดีไซน์ขนาดใหญ่และสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) ให้ผู้ขับขี่ปรับรูปแบบสปอร์ตบาร์ด้วยเลื่อนจุดล็อกได้ 5 ตำแหน่งด้วยมือเดียวรองรับการติดตั้งหรือขนย้ายอุปกรณ์
กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมแบบสีดำเงา ติดไฟ AUX Lamp (ทำงานเมื่อเปิดไฟสูง) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในทุกสภาพอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับเวลากลางคืนในชุดกระจังหน้า แผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่องใหม่ คิ้วช่องระบายอากาศสีส้ม Cyber Orange ใต้กันชนหน้า บันไดข้างอะลูมีเนียมสีดำดีไซน์ใหม่และล้ออัลลอยลายเข้มขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง AT จาก General Grabber AT3 All-Terrain ขนาด 265/70 R17 และคิ้วขอบล้อสีดำ
นอกนั้นคงเดิมทั้งไฟหน้า Matrix LED บันไดเหยียบข้างกระบะท้ายบริเวณด้านหลังล้อหลัง ไฟท้าย LED แนวตั้งสวยงาม ยังมีช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายที่มาพร้อมช่องต่อไฟแบบ AC รองรับกำลังไฟถึง 400 W ให้คุณใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง หม้อหุงข้าว หรือเตาอบขนาดเล็กได้ง่ายๆ เพียงเสียบปลั๊กกับตัวรถ
ภายในมีดีเทลเล็กน้อยด้วยสัญลักษณ์ Wildtrak X บริเวณฝาเปิดบนชุดคอนโซลหน้าแบบหุ้มหนังกลับ Terra suede เดินด้ายส้ม Cyber Orange เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ผสมหนังกลับ Miko suede เดินด้ายส้ม Cyber Orange อัปเกรดลำโพงมาใช้แบรนด์ Bang & Oulfsen หรือ B&O ให้ถึง 10 จุด เพิ่มการตกแต่งสีเทาที่กล่องเก็บแว่นตา พวงมาลัย ช่องลมแอร์ แผงประตูและที่จับบนแผงประตู ผ้ายางปูพื้นและสครัพเพลทกันลอยบริเวณธรณีประตูสีเงินติดตรา WILDTRAK X
พร้อมออปชันเดิมจากรุ่น Wildtrak ทั้ง หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay® Android Auto™ สามารถเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมระบบ FordPass ช่องต่อ USB 4 จุด กับมาตรวัดดิจิทัลแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว ช่องต่อไฟ 12V พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ auto hold และครั้งแรกกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter หุ้มหนัง
เบาะนั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้าได้ถึง 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวาและปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ขุมพลังคงเดิมด้วยดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร รหัส YN2R ที่ต้องอิงกฎหมายการควบคุมมลพิษหรือ EURO 6 จึงต้องปรับกำลังลงเหลือ 204 แรงม้า 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที และเติมสาร AD Blue เข้าไป ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter 10R80 พร้อมดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้ากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full Time 4A
ผสานกับโหมดการขับขี่แบบ Terrain Management System เลือกได้ถึง 6 โหมดทั้งโหมด Normal, โหมดประหยัด Eco, โหมดลากจูงและบรรทุก Tow/Haul, โหมดทางลื่น Slippery, โหมดทราย Sand, โหมดโคลน Mud/Ruts แล้วยังเพิ่มโหมดหิน Rock Crawl รวม 7 โหมด
ช่วงล่างอัปเกรดใหม่ตอบโจทย์ความโหดเต็มคาราเบลจากโช้คอัพ Bilstein Position-Sensitive แบบโมโนทิวบ์ พร้อมถังเก็บไนโตรเจนแบบแยก มาพร้อมเทคโนโลยี End Stop Control Valve (ESCV) รองรับการบรรทุกและการโดยสารแน่นจิกทุกโค้ง รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้ยาง AT ขนาด 265/70 ขยายพื้นที่ด้านหน้าและหลังรถกว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร และความสูงจากใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 26 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่น WILDTRAK เดิมแต่ยังคงความเด่นในการลากจูงได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม
ระบบช่วยให้การเลี้ยวบนทางแคบได้ดีขึ้นในทางโหดหรือ Trail Turn Assist ควบคุมกำลังแรงบิดของล้อ แรงฉุด เบรกและเร่งความเร็วเพื่อให้จำกัดความเร็วได้ต้องการเสริมการขับทางโหดได้ดีด้วยความเร็วต่ำกว่า 19 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและต้องอยู่ในโหมด 4H หรือ 4L และปลดล็อกเฟืองท้ายโดยระบบนี้สามารถลดรัศมีวงเลี้ยวได้ถึง 25% พร้อมระบบช่วยจอดรถขณะมีลากจูง Pro Trailer Backup Assist และความปลอดภัยมาครบทั้ง
- ล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติแบบ Stop & Go ยังเพิ่มฟังก์ชันล็อกความเร็วในเส้นทางออฟโรด Trail Control มาให้โดยสามารถปรับตั้งความเร็วสูงสุด 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
- ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน จักรยาน และทางแยก Autonomous emergency braking (AEB) with Pedestrian, Cyclist, Car Detection Junction assist
- เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
- ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking
- ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
- ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist
- อ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition
อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทั้ง ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย ถุงลมบริเวณหัวเข่าและตรงกลางเบาะนั่งคนขับ ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน กล้องมองภาพรอบคัน ป้องกันล้อล็อก ABS กระจายแรงเบรก EBD ดิสก์เบรก 4 ล้อ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
ป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System) ช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation) ควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) สัญญาณกันขโมยและกุญแจนิรภัย Security Alarm System and Immobilizer
Ford Ranger WILDTRAK X มาทั้งสีขาว Arctic White, สีเทา Meteor Grey, สีดำ Shadow Black และ สีบอรนซ์เงิน ALUMINIUM พร้อมสีใหม่ 2 สีทั้ง สีเหลือง Luxe Yellow และสีน้ำเงิน Blue Lightning ตัดสีส้ม Cyber Orange ในราคา AU$77,640 เป็นราคาก่อนมีค่าจดทะเบียนและภาษีถนน On-Road ของออสเตรเลีย หรือราว 1,655,000 บาท จำนวนจำกัดเพียง 750 คัน ส่งมอบไตรมาสแรกของปีนี้
ที่มา Carexpert