หลังจากการประกาศการลงทุน 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 69 ล้านล้านบาท ฟอร์ดวางแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้มากกว่า 2.5 แสนคันต่อปี ภายในปี 2026
Ford เฉลิมฉลองการเปิดโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในโลกที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ผ่านมา โรงงานแห่งนี้จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยเริ่มจาก Ford Explorer รุ่นใหม่ ที่ขายในทวีปยุโรป
โรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าโคโลญจน์แห่งใหม่ตั้งอยู่ในโรงงานเก่าแก่ของฟอร์ดในเมืองนีห์ล โรงงานแห่งนี้ซึ่งเปิดทำการครั้งแรกในปี 1930 มีการผลิตรถยนต์ไปแล้วกว่า 18 ล้านคัน รวมถึงรถรุ่นเด่นอย่าง Model A, Capri และ Fiesta
ผลจากการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์จาก Ford ทำให้ปัจจุบันโรงงานขนาด 125 เฮกตาร์ มีสายการผลิตใหม่เอี่ยม อาทิ โรงงานประกอบแบตเตอรี่ และเครื่องมือที่ทันสมัย ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด
โดยภายในสิ้นปี 2026 ฟอร์ดคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตที่โรงงานรถยนต์ไฟฟ้าโคโลญจน์จะเกิน 250,000 คันต่อปี นอกเหนือจากการประกอบ Ford Explorer ที่ใช้พื้นฐานของ Volkswagen แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันยังวางแผนที่จะแนะนำรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งที่เรียกว่า “สปอร์ตครอสโอเวอร์” ในอนาคตอันใกล้นี้
Martin Sander ผู้จัดการทั่วไปของ Ford Model e Europe กล่าวว่า “Cologne EV Center ส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นยุคใหม่ของ Ford ในยุโรป เรากำลังกำหนดนิยามใหม่ของการผลิตรถยนต์อีกครั้ง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างยานพาหนะที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ ซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการเคลื่อนย้ายที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์”
ฟอร์ดสัญญาว่าโรงงานจะใช้เครื่องจักรใหม่เพื่อทำให้ยานพาหนะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยเหลือพนักงานให้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้หุ่นยนต์ทำงานร่วมกันและเทคโนโลยีความจริงเสริม ซึ่งจะช่วยพนักงานและอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดีขึ้นภายในกระบวนการผลิต