Honda E-Clutch ระบบคลัทช์ใหม่ล่าสุดของ ฮอนด้า เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทำให้ในการขับขี่รถบิ๊กไบค์นั้นทำได้ง่ายขึ้น และจะเป็นยังหากเรานำมาใช้ชีวิตประจำวัน
ก่อนหน้านี้เราได้ทดสอบ Honda E-Clutch กันแบบเต็มๆ กันไปแล้วที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ และเพื่อเป็นการยืนยันสมรรถนะการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันจะเป็นยังไงเราได้หาคำตอบมาให้แล้ว… ก่อนจะไปเข้าเรื่องของการขับขี่ต้องบอกก่อนเลยว่าภายนอกของรุ่น E-Clutch แทบจะเหมือน รุ่น Standard ในทุกจุดจะมีส่วนที่แตกต่างคือ ตัวรถมีน้ำหนักเพิ่ม ขึ้น 2กก. และชุดระบบ E-Clutch จะถูกติดตั้งอยู่กับฝาครอบคลัชท์ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกขอเริ่มกันที่ CB650R ที่มีความโดดเด่นในรูปแบบของสตรีทไบค์ไฟกลม เสริมความเท่แบบสปอร์ตด้วยช่องดักอากาศที่ด้านข้างตัวถัง ทำให้ตัวรถดูมีมิติมากยิ่งขึ้น พร้อมตำแหน่งแฮนด์และท่านั่งขับขี่แบบเน็กเก็ตไบค์ ที่เน้นใช้งานภายในเมือง ถัดมาเป็น CBR650R สปอร์ตฟลูแฟริ่ง โดดเด่นตามแบบฉบับ CBR ซีรีส์ ด้วยไฟหน้าคู่ มาพร้อมความเร้าใจทุกการขับขี่ด้วยตำแหน่งแฮนด์ และท่านั่งแบบสปอร์ต ที่สามารถขับขี่ได้ทั้งในเมืองและสนามแข่ง
CBR650R กับ CB650R ใช้เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ขนาด 650 ซีซี. มอบพละกำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 12,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 63 นิวตันเมตร ที่ 9,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ E-Clutch เปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องกำคลัทช์ตั้งแต่การออกตัว ส่วนช่วงล่างใช้เป็นโช้คอัพหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาด 41 มม. และด้านหลังเป็นโช้ค อัพสปริงเดี่ยว พร้อมปรับพรีโหลดได้ 10 ระดับ ระบบเบรกดิสเบรคคู่ ขนาด 310 มม. พร้อมปั้มเบรค 4 พอต ที่ด้านหน้า และดิสเบรคเดี่ยว ขนาด 240 มม. พร้อมปั้มเบรค 1 พอต ที่ด้านหลังพร้อมด้วยระบบ ABS แบบ Dual Channel
5 จุดเด่นที่น่าสนใจของ Honda E-Clutch
E-Clutch เทคโนโลยีระบบคลัชท์ใหม่ที่ถูกติดตั้งมาอยู่ใน CBR650R กับ CB650R จากที่เราได้ทดสอบมาต้องขอย้ำให้ชัดเจนเลยว่าระบบคลัทช์ใหม่นี้ทำให้การขับขี่รถบิ๊กไบค์ทำได้ง่ายมากขึ้นจริงๆ ซึ่งเราก็แบ่งออกให้เป็น 5 ประเด็นหลักคือ
1. ขี่ง่ายคล่องตัว..ไม่ต้องรถกลัวดับ!!
อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีว่า CBR650R กับ CB650R เป็นรถคลาส 650 ซีซี. ของ ฮอนด้า ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเมืองและการเดินทางไกล มิติของตัวรถจึงมีความคล่องตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มรถไซส์มิดเดิ้ลเวท และเมื่อเปรียบเทียบกับคลาสเดียวกันที่ใช้ระบบคลัทช์แบบแมนนวลแล้ว รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะการขับขี่จริงภายในเมือง ช่วงเวลาการจราจรที่ติดขัดในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ระบบ E-Clutch เสริมให้มีความสะดวกสบายขึ้นเยอะ สามารถขับขี่ได้คล่องตัวและไร้กังวลไม่ต้องกลัวรถดับ แม้ว่าจะใช้ความเร็วต่ำๆ ในเกียร์ที่สูงกว่าก็ตาม
2. เพิ่ม-ลด เกียร์ไม่ต้องกำคลัทช์
มั่นใจได้เลยว่าผู้ที่เคยขับขี่ระบบคลัทช์แบบแมนนวล ต้องพบเจอกับปัญหาเมื่อยล้าในมือซ้ายที่ต้องคอยกำคลัทช์ หรือเลียคลัทช์เพื่อที่จะไม่ให้รถกระตุกหรือดับ แต่ระบบ E-Clutch จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว โดยชุดเกียร์ของมอเตอร์จะทำงานร่วมกับระบบเซนเซอร์จากระบบควิกชิพเตอร์ และสปีดเซนเซอร์ คอยประมวลผลการขับขี่ และจะสั่งการทำงานของคลัทช์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เราสามารถขับขี่ได้โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ตั้งแต่เริ่มสตาร์ทซึ่งรวมไปถึงการเพิ่ม-ลด เกียร์ ด้วยเช่นกัน
3.เปลี่ยนเกียร์ ไม่ต้องยกคันเร่ง !!
ระบบ E-Clutch มาพร้อมกับ Quick Shifter ไฟฟ้าแบบสองทิศทางสามารถเพิ่มหรือลดเกียร์ลงได้อย่างต่อเนื่อง และนุ่มนวล ในบางจังหวะที่ต้องเชนเกียร์รวบลงมาอย่างรวดเร็วไม่พบอาการล้อล็อค ให้เสียบาลานซ์ในการควบคุม นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องยกคันเร่งอีกด้วย ในจุดนี้ทำให้เราเชนเกียร์เพื่อทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง และขับขี่ได้อย่างไหลลื่นมากยิ่งขึ้น
4.อัดแน่นเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่
แน่นอนว่านอกจากความล้ำหน้าในด้านระบบคลัทช์แล้ว ตัวรถยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีช่วยเหลือในการขับขี่อีกด้วย อย่างที่ได้กล่าวไว้ในประเด็นแรกว่า เราสามารถใช้ความเร็วที่ต่ำมากๆ ในเกียร์ที่สูงกว่าได้ ซึ่งเป็นการใช้เกียร์ไม่สัมพันธ์กับความเร็วในจุดนี้ระบบจะแจ้งเตือนที่ตัวเลขตำแหน่งเกียร์บนหน้าจอ TFT ในทันที นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Traction Control ที่สามารถเลือก เปิด/ปิด และระบบ Quick Shifter ไฟฟ้าปรับการทำงานได้ 3 ระดับคือ Soft, Medium และ Hard อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอป Honda RoadSync ผู้ขับขี่สามารถรับสาย/วางสาย, เล่นเพลง และเปิดระบบนำทางได้ โดยสามารถเลือกควบคุมตั้งค่าต่างๆ ได้ด้วยปุ่มควบคุม 4 ทิศทางบนประกับแฮนด์ฝั่งซ้าย
5. E-Clutch ไม่ใช้ก็ได้..หรือจะใช้ดียยย์…!!
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หลายๆ คนพูดถึงว่า E-Clutch ทำให้เสน่ห์การขับขี่รถคลัทช์มือไม่เหมือนระบบคลัทช์แมนนวล ต้องบอกเลยนะครับว่าระบบ E-Clucth สามารถเปิด/ปิด การทำงานได้หากใครที่อยากสัมผัสฟีลลิ่งแบบเกียร์ธรรดาก็เพียงแค่ปิดระบบ ซึ่งสามารถทำได้ตอนรถจอดนิ่งสนิทเท่านั้น แต่ถ้าปิดสวิตช์กุญแจแล้วเปิดใหม่ระบบจะกลับทำงานอัตโนมัติทุกครั้ง โดยจะโชว์สัญลักษณ์การทำงานของระบบที่ด้านขวาของหน้าจอเป็นสัญลักษณ์สีเขียวรูปตัว A นอกจากนี้หากเผลอใช้คลัทช์ขณะเปิดระบบไว้อยู่ในช่วงที่ใช้ความเร็วเกินกว่า 40 กม./ชม. ระบบจะตัดการทำงานเป็นคลัชท์แมนนวลให้ 2 วินาที แต่ถ้าเป็นในช่วงความเร็วต่ำระบบจะตัดไปเป็นคลัชท์แมนนวลให้ประมาณ 5 วินาที เผื่อในกรณีที่เราต้องการใช้คลัชท์เพื่อใช้รอบเครื่องยนต์ช่วยส่งกำลังนั่นเอง
สรุป ขี่ในเมืองเป็นยังไง..?
จากที่ได้ทดลองขับขี่ใช้งานจริงภายในเมืองของทั้ง CB650R และ CBR650R ชัดเจนแล้วว่า E-Clutch เป็นระบบที่เข้ามาช่วยเหลือการขับขี่รถบิ๊กไบค์ให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจริงๆ และถ้าเป็นมือใหม่ที่เพิ่งขยับ ซีซี. ขึ้นมาก็สามารถขับขี่ได้เหมือนผู้มีประสบการณ์ไม่ต้องกังวลว่าออกตัวหรือใช้ความเร็วต่ำแล้วรถจะดับ ที่สำคัญจากประสบการณ์ขับขี่รถคลัทช์มือ เมื่อเจอช่วงเวลาการจราจรที่ติดขัด เราไม่ต้องคอยกำคลัทช์ให้เมื่อยมืออีกต่อไป ซึ่งในจุดนี้เองทำให้ไม่เหนื่อยล้าจากการฝ่าดงรถติดเหมือนรถคลัทช์แมนนวล แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ติดตั้งระบบ Cruise Control มาให้ไม่งั้นจะเป็นรถที่ครบเครื่องสำหรับการออกทริปท่องเที่ยวเดินทางไกล!!
บทความที่เกี่ยวข้อง
รีวิว Honda E-Clutch ระบบคลัทช์ไฟฟ้าที่มือใหม่ขี่ง่าย..มือเก๋าขี่สบาย..!
สำหรับราคาจำหน่าย All New Honda CBR650R E-Clutch ราคาแนะนำ 347,300 บาท และ All New Honda CB650R E-Clutch ราคาแนะนำที่ 332,100 บาท หากมองถึงความคุ้มค่าที่เพิ่มขึ้นมาอีก 20,000 บาท บอกเลยว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน..บอกเลยว่าถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ ผู้ที่สนใจสามารถไปชมคันจริง หรือทดลองขับขี่ได้ที่ศูนย์ Honda Bigbike ทุกสาขาทั่วประเทศ และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ thaihonda.co.th/hondabigbike
ติดตามข่าวสารยานยนต์ : car2day.com
Page Facebook : Car2Day
Youtube : youtube.com/@Car2day
