JUNEYAO Group เลือกประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกเปิดตัวและขายอย่างเป็นทางการสำหรับ JY AIR เก๋งอีวีขับหลังรุ่นแรกเวอร์ชันพวงมาลัยขวา
หลังจากเปิดขายไทยก็มียอดจองในงาน Motor Expo ที่ผ่านมามากถึง 63 คัน สำหรับ JY AIR
ตัวรถมาในร่างฟาสท์แบก 5 ประตู ได้แรงบันดาลใจในการดีไซน์จากเครื่องบินมาในซีดานแบบกล่องเดียวมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.23 cd โดดเด่นเรื่องกระจกบานใหญ่ทรงสามเหลี่ยมทั้งเสา A และเสา C กระจกมองข้างทรงสปูน ที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวถัง พร้อมไฟหน้า LED ทรง 3 เหลี่ยมในโคมดีไซน์เหมือนปีกเครื่องบิน พร้อมไฟ DRL สอดรับกับชุดกันชนหน้าที่มีช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมคางหมู กระจังหน้าทรงทึบ
ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวพร้อมสปอยเลอร์ในตัวบนฝาท้ายกับชุดกันชนหลังดีไซน์ลงตัวซันรูฟแบบพาโนรามาและประตูหลังเปิด-ปิด้วยระบบไฟฟ้าในรุ่น Plus และช่องกระจกทรง 3 เหลี่ยมที่เสา A และ C และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45R19 ในรุ่น Plus และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60R17 ในรุ่น Standard โดยตัวรถมาในร่างไซซ์คอมแพ็คจากแพลตฟอร์ม SKY มีมิติดังนี้
- ความยาว 4,550 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,860 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,515 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,800 มิลลิเมตร
ภายในมาอย่างหรูพร้อมออปชันเด่นทั้งจอมาตรวัดความเร็วคาดมาในขนาด 8.8 นิ้วแบบ LCD สี กับจอสัมผัสขนาดใหญ่คาดว่าจะมาในขนาด 15.6 นิ้ว โดยในรุ่น Plus สามารถหมุนจอได้ ในชุดคอนโซลหน้าดีไซน์ต่อเนื่องรูปตัวที คอนโซลกลางมีที่ท้าวแขนช่องวางแก้ว 2 จุด และ ที่ชาร์จมือถือไร้สาย 1 ช่อง ในรุ่น Plus
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 2 ก้านทรงท้ายตัดสามารถปรับสูงต่ำได้ 2 ตำแหน่งไม่สามารถปรับใกล้ไกลพวงมาลัยได้อีก 2 ตำแหน่ง พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบเกียร์คอหลังพวงมาลัยด้านขวา พร้อมไฟสร้างบรรยากาศภายใน Ambient Light 256 สีเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมช่องแอร์ด้านหลังพร้อมตัวกรองกันฝุ่น PM2.5 ช่องต่อ USB Type A และ Type C ในด้านหน้า อย่างละ 1 ช้่อง ด้านหลังให้ Type C 2 ช่อง และลำโพง 8 จุด และกุญแจ NFC
5 ที่นั่งมาในแบบ First Class โดยเบาะคู่หน้าปรับเอนได้ถึง 240 องศา ปรับความสูงได้ 46 มิลลิเมตร ปรับพนักพิงได้ถึง 160 องศาเบาะหลังพับได้แบบ 60/40 เพิ่มพื้นที่ในการขนของมากขึ้นถึง 1,338 ลิตรแต่ถ้าไม่พับเบาะจะมีพื้นที่ 420 ลิตร โดยรุ่น Plus หุ้มหนังสังเคราะห์ปรับด้วยระบบไฟฟ้าด้านคนขับ 6 ทิศทาง และคนนั่งปรับไฟฟ้า
ส่วนรุ่น Standard ปรับด้านคนขับ 6 ทิศทางและคนนั่งปรับไดด้วยระบบปรับมือหุ้มเบาะด้วยวัสดุผ้า+PVC ด้านเบาะนั่งด้านหน้าทรงสปอร์ตให้ความสบายโอบกระชับพอใช้ได้ ด้านหลังกลับต้องบ่นกันเพราะด้วยหลังคารถลาดลงมากทำให้พื้นที่ศีรษะเหลือน้อย เบาะหลังชันไม่สามารถปรับเอนได้ทำให้การนั่งดูอึดอัดไปพอควร
หลังคาพาโนรามาขนาด 2.072 ตารางเมตร สำหรับรุ่น Plus แต่ก็ต้องแลกกับความร้อนเพราะไม่มีม่านบังแดดหลังคาให้เป็นออปชันมาตรฐานรวมถึงการใช้งานต่างๆทั้งปรับกระจกมองข้าง หาปุ่ม Auto Hold และปรับเครื่องปรับอากาศต้องไปที่จอเท่านั้นซึ่งใช้งานช่วงแรกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นานๆไปเข้ารูปเข้าร่างปรับง่ายๆ
ระบบปฏิบัติการห้องโดยสารอัจฉริยะ Crystal OS พัฒนาโดย JUNEYAO มีฟีเจอร์ควบคุมและสั่งงานแบบอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมไฟ ระบบหน้าต่าง และประตูท้ายรถ ทั้งยังรองรับการตั้งค่าตามสภาพถนนได้แบบเรียลไทม์ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่นในทุกสภาพการใช้งาน
ขุมพลังไฟฟ้าล้วนแบบมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังพร้อมให้ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.9 วินาทีพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมดทั้งโหมด Eco, Normal, Sport, One-Pedal โดยแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยเริ่มที่
รุ่น Standard มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ LFP จาก REPT มีความจุแบตเตอรี่ 51kWh วิ่งไกลสุดตามมาตรฐาน NEDC 430 กิโลเมตร การชาร์จ 2 รูปแบบทั้งชาร์จกระแสตรง DC 30-80% รองรับการชาร์จสูงสุด 70 kW ภายใน 30 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 10-100% ภายใน 5.3 ชั่วโมง ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
รุ่น Plus มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ LFP จาก CATL มีความจุแบตเตอรี่ 64 kWh วิ่งไกลสุดตามมาตรฐาน NEDC 520 กิโลเมตร การชาร์จ 2 รูปแบบทั้งชาร์จกระแสตรง DC 30-80% องรับการชาร์จสูงสุด 90 kW ภายใน 21 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC 10-100% ภายใน 6.5 ชั่วโมง ให้กำลังสูงสุด 215 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงสมรรถนะของเก๋งอีวีเทคโนโลยีจากอากาศยานทาง JUNEYAO เนรมิตรูปแบบการทดสอบแบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวันจัดเส้นทาง กรุงเเทพฯ-ชลบุรีด้วยระยะทางไป-กลับ 307 กิโลเมตร โดยทริปนี้ได้ขับรุ่นเริ่มต้น Standard 430 กิโลเมตรทั้งขาไปและขากลับ
แม้จะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังที่มีฐานล้อเท่ากับรถเก๋ง D-Car ถึง 2,800 มิลลิเมตร ให้ความมั่นคงในการขับขี่พอสมควรในย่านความเร็วกลางๆ 80-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เข้ามาย่านความเร็วสูง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไปกลับมีอาการส่ายของตัวรถส่วนหนึ่งมาจากยางติดรถมาเป็นขอบ 17 นิ้วความกว้างของหน้ายาง 215 มิลลิเมตร แก้มยางสูง 60% และเนื้อยางไม่ค่อยจะละเอียดอาจไม่เหมาะกับความเร็วสูงๆ
พื้นฐานช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบ Five-Links นุ่มนวลเก็บอาการถนนดีการคุมรถทั้งทางตรงทางโค้งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจแต่ต้องเป็นถนนเรียบจริงๆเท่านั้นเพราะช่วงล่างที่ปรับเซตครั้งนี้มาแบบไม่เรียบร้อยก่อนขาย ดิสก์เบรก 4 ล้อ ให้การตอบสนองเบรกทันใจแป้นแบรกน้ำหนักกลางแอบลึกเล็กน้อย
ด้านกำลัง 201 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตรการตอบสนองค่อนข้างไวเร่งแซงอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ พร้อมโหมดการขับขี่ 5 โหมดที่เลือกได้ตามใจชอบทั้ง Eco, Normal, Sport, Customize และ One-Pedal ลองเล่น One Paddle บ้างกลับพบว่าโหมดนี้ออกอาการแรงหน่วงตอนชะลอรถเยอะมากซึ่งไม่เหมาะแน่กับสไตล์การขับขี่แบบผมเลยเลือกใช้โหมดการขับขี่ Normal พร้อมระบบ Regenerative ระดับ 2 ดีกว่าเพราะอย่างน้อยแรงหน่วงให้อาการนุ่มนวลกว่า
ก่อนขับแบตเตอรี่เต็ม 93% วิ่งได้ 400 กิโลเมตร ระหว่างขับขี่แบตเตอรี่ลดลง 1% ขับได้ 1-2 กิโลเมตร ด้านความเร็วสูงสุดตามโรงงานเคลมไว้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสามารถเหยียบเส้นตรงยาวๆได้ถึงราวๆ 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวงมาลัยไฟฟ้าให้วงเลี้ยวแคบคล่องตัวน้ำหนักพวงมาลัยดีไม่หนักเกินไปไม่เบาเกินไปแต่ตำแหน่งคอพวงมาลัยที่ยาวไปไม่สามารถปรับใกล้ไกลได้อาจมีการเมื่อยแขนก็เป็นได้ จนมาถึงกรุงเทพฯแบตเตอรี่เหลือ 17% วิ่งได้ต่อ 74 กิโลเมตร กินไฟเพียง 13.6 kWh ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 7.35 กิโลเมตรต่อ kWh
รถรุ่นนี้ยังได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยระดับสูงตามมาตรฐาน NCAP และ E-NCAP ระดับ 5 ดาว ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมั่นใจได้ในทุกการเดินทางพร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Level 2+ ช่วยให้รถสามารถขับขี่อัตโนมัติได้อย่างมั่นใจด้วยฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงเช่น
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- เตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- รักษาตำแหน่งในเลน LCC (Lane Centering Control)
- ความคุมความเร็วอัจฉริยะ ISA (Intelligent speed assistance)
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ ICA (Intelligent Cruise Assist)
สำหรับรุ่น Plus เพิ่ม ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist) ช่วยเตือนจุดอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยเตือนการชนเมื่อเปลี่ยนช่องทางเดินรถ LCW (Lane Change Collision Warning) ช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
ช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB (Rear Cross Traffic Brake) ตรวจสอบระยะห่างระหว่างรถเรากับรถยนต์คันหลัง RCW (Rear Collision Warning) และตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่ DMS (Driver Monitoring System)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution) เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว ESC ป้องกันล้อหมุนฟรีควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ม่านถุงลมนิรภัย ส่วนรุ่น Plus เพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง และถุงลมนิรภัยคั่นกลางห้องโดยสารด้านหน้า กล้องมองภาพรอบทิศทางพร้อมภาพแสดงตัวรถแบบโปร่งแสง สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง
จากประสบการณ์ในการทำสายการบินเชิงพาณิชย์ของ JUNEYAO Group ได้แตกไลน์มาทำธุรกิจยานยนต์ตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้วด้วยการซื้อกิจการ YUDO Auto ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2022 (YUDO ทำตลาดจีนมาตั้งแต่ปี 2015 กับรุ่นแรก YUDO YUNTU เอสยูวีจิ๋วพลังอีวี)และด้วยการพัฒนาซอฟท์แวร์ด้วยตัวเองทำให้ดูมีภาษีมากขึ้นสำหรับแบรนด์นี้
แม้การขับขี่โดยรวมอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจแต่ก็มีหลายเรื่องที่อยากให้ปรับปรุงทั้งภายในเบาะหลังควรมีฟังก์ชันปรับเอนได้เล็กน้อย พวงมาลัยเพิ่มคอพวงมาลัยปรับระยะใกล้-ไกล ให้สัมพันธ์กับสรีระคนขับ รุ่นเริ่มต้นปรับช่วงล่างที่ให้เฟิร์มกว่านี้พร้อมเพิ่มขนาดความกว้างของยางเพื่อการเกาะถนนที่ดีแม้กระทั่งความปลอดภัยน่าจะเพิ่มเตือนมุมอับสายตากับเตือนเมื่อผ่านขณะถอยหลังสักหน่อยก็ยังดี เด็กๆคงชอบแน่ๆกับการเล่นเกมส์และเชื่อมต่อเครื่องเล่นเกมแบรนด์ดังๆได้
แถมการรับประกันที่ยาวมากๆด้วย 8 ปี ทั้งการรับประกันคุณภาพตัวรถ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร, รับประกันมอเตอร์ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร, รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 800,000 กิโลเมตรสำหรับรุ่นท็อป รุ่นเริ่มต้นได้รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร
ยังแถมตั๋วเครื่องบิน 4 ที่นั่ง ไม่จำกัดเส้นทางนาน 3 ปี พร้อมสมาชิกระดับ Gold 3 ปีอันนี้พอจะดึงดูดคนที่สนใจมาจองมาซื้อ JY AIR ได้ เริ่มส่งมอบตั้งแต่ มกราคมปีหน้า ตัวรถมีด้วยกันถึง 4 สีได้แก่ สีเขียว Aurora Green สีดำ Galactic Black *สีขาว Moon White *สีฟ้า Meteorite Blue ในราคาเข้าร่วมโครงการ EV 3.5 ดังนี้
- รุ่น Standard ราคาพิเศษ 759,000 บาท (ราคาปกติ 899,000 บาท)
- รุ่น Plus ราคาพิเศษ 869,000 บาท (ราคาปกติ 1,018,000 บาท)