จากยอดขายสะสมในจีน 11 เดือนของปีนี้ทำได้ 92,945 คันนับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความหรูหราสง่างามของเอ็มพีวีหรูนักฆ่า Alphard อย่าง DENZA D9
ล่าสุดเปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่หรือ MY2025 สำหรับ DENZA D9 ประเดิมขายที่เมืองจีนเป็นที่แรก
หน้าตายังคงเดิมเน้นหรูหราด้วยชุดกระจังหน้าทรงทึบสีเงินแนวตั้ง 12 ซี่ ในรุ่น EV หรือ ลายเกล็ด 7 ชั้น ในรุ่น DM-I PHEV คล้าย Alphard ปะตราโลโก้เด่น พร้อมขอบสีเงินล้อมรอบด้านหน้ารถแบบเต็มๆไฟหน้า LED ดีไซน์หรู ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime พร้อมชุดตกแต่งสีเงินที่ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง
ไฟท้ายดีไซน์แนวยาว LED ไฟเลี้ยววิ่ง Sequential หลังคา Dual Panoramic Sunroof ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า และ ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/60R18 เสริมความสบายด้วยประตูดูดไฟฟ้าทั้งในส่วนประตูคู่หน้าและประตูสไลด์สองฝั่ง
มิติตัวรถยังเท่าเดิมแต่ความสูงของตัวรถเตี้ยลง 20 มิลลิเมตร เป็น 1,900 มิลลิเมตรนอกนั้นเท่าเดิมทั้ง ความยาว 5,250 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,960 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,110 มิลลิเมตร และความจุถังน้ำมัน 53 ลิตรสำหรับรุ่น DM-I PHEV
ภายในคงเดิมทุกประการหรูหราสง่างามเทียบเท่าคู่แข่งตั้งแต่เบาะนั่งหนังแท้ 7 ที่นั่งแบบ NAPPA โดยเบาะนั่งแถวที่สองมาแบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวด เบาะอุ่น ระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์
โต๊ะพับและที่วางแก้ว ตกแต่งด้วยวัสดุหนัง เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ทุกที่นั่งมีระบบอุ่นเบาะ มีพื้นที่ด้านหลังขนของได้ 410-570 ลิตร กรณีไม่พับเบาะ และถ้าพับเบาะ 2,310 ลิตร ระบายอากาศและนวดเพื่อผ่อนคลาย
แผงคอนโซลหน้ามีจอสัมผัสขนาดใหญ่ลากเป็นแนวยาวประกอบด้วย จอสัมผัส 15.6 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto จอหลังเบาะคนขับคู่หน้า 2 จอขนาด 12.8 นิ้ว พร้อมลำโพง DYNAUDIO 14 จุด มีช่องเชื่อมต่อ USB ช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V มาตรวัดความเร็ว LCD ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Head Up Display ขนาด 12 นิ้ว และกระจกมองหลังดิจิทัล Streaming Media Rearview Mirror
มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light มากถึง 128 สี กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 3 โซน แยกบริเวณด้านหน้าและหลังอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะ พร้อมระบบ Push Start และที่ชาร์จมือถือไร้สาย
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันในส่วนปุ่มการทำงานซ้าย-ขวาให้ไวขึ้นพร้อมระบบอุ่นที่พวงมาลัย จอสัมผัสยังเพิ่มฟังก์ชันความบันเทิงกับแอป Game Center เข้ามาด้วย ปรับในเรื่องระบบสั่งงานด้วยเสียง คอนโซลเกียร์ออกแบบใหม่ปรับให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมสีภายในใหม่แบบ Broad-minded Rice
รุ่น 4 ที่นั่ง PIONEER เบาะ VIP สองที่นั่งปรับด้วยระบบไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อมระบบนวดเบาะมากถึง 18 จุด อุ่นเบาะถึง 6 จุด โต๊ะทำงานดีไซน์เรียบหรู สำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ รองรับการทำงาน อ่านหนังสือ มีตู้เย็นเล็กขนาด 7.5 ลิตร พร้อมจอควบคุมการทำงานแบบจอสี LCD ในชุดคอนโซลกลางขนาดใหญ่
หน้าจอขนาดใหญ่ 32 นิ้ว ลำโพงจาก DEVIALET มากถึง 22 จุด พร้อมชุดฉากกั้นมีกระจกกั้นกลางในห้องโดยสาร เก็บเสียงได้เป็นอย่างดี พร้อมระบบแอร์แยกส่วน ช่วยให้การหมุนเวียนอากาศแยกส่วนกันชัดเจน ระหว่างห้องคนขับและห้องโดยสาร เพิ่มระบบฟอกอากาศ FOREST สามารถกำจัดเชื้อไวรัส Covid-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในรุ่น MY2025 มีการพัฒนาฟังก์ชันภายในใหม่ทั้งตู้เย็นเล็ก 7.5 ลิตรรองรับทั้งอุ่นและระบบความเย็น ตัวล็อคสำหรับวางชาร์จมือถือไร้สายในเบาะนั่งแถวที่ 2 เบาะนั่งตอนที่ 2 อัปเกรดเป็นเบาะแบบ Zero Gravity ออกแบบตามสรีระของผู้โดยสาร และเบาะนั่งตอนที่ 3 ปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า และเลือกโทนสีได้ 2 สี ทั้งสีน้ำตาลทองและสีเบจ
ขุมพลังมีสองแบบเริ่มที่รุ่นปลั๊กอินไฮยบริดมาพร้อมเวอร์ชันใหม่ DM-i 5.0 PHEV ให้ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งสองความแรงติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 39.398 kWh สามารถชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 80 kW และชาร์จกระแสตรง AC
ด้วยพื้นฐานเบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร รหัสใหม่ BYD472ZQB พัฒนาใหม่โดยให้กำลังสูงสุดในภาคเครื่องยนต์มากถึง 156 แรงม้า แรงบิด 225 นิวตันเมตร เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าให้กำลังใหม่เพิ่มขึ้น 276 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร วิ่งไกลในโหมดไฟฟ้าล้วน 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (CLTC) หรือ 193 กิโลเมตร (NEDC) วิ่งไกลรวมทุกระบบ 1,100 กิโลเมตร ประหยัด 17.09 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรทำได้ 8.6 วินาที
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยมอเตอร์ด้านหน้าให้กำลังเพิ่มขึ้น 276 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร และมอเตอร์ด้านหลังให้กำลัง 61 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร วิ่งไกลในโหมดไฟฟ้าล้วน 190 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (CLTC) หรือ 183 กิโลเมตร (NEDC) วิ่งไกลรวมทุกระบบ 1,020 กิโลเมตร ประหยัด 15.75 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรทำได้ 7.3 วินาที
รุ่น EV ติดตั้งแพลตฟอร์ม 800 V พร้อมขุมพลังไฟฟ้าติดตั้งความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 103.36 kWh คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 620 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC หรือ 598 กิโลเมตร (NEDC) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 9.5 วินาที
รุ่นท็อปมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเท่ากันมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าให้กำลังเท่ากันแต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 61 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 374 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร โดยชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน CLTC หรือ 579 กิโลเมตร (NEDC) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 6.9 วินาที
ทั้งคู่มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 7 kW และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% รองรับกำลังไฟสูงสุด 200 kW พัฒนาใหม่ชาร์จเร็วขึ้นภายใน 15 นาที วิ่งได้ไกล 243 กิโลเมตร และ DC 0-80% เหลือเพียง 7 นาที รองรับ V2L
มาพร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ พร้อม DiSus-C ช่วงล่างอัจฉริยะช่วยปรับระดับการกระแทกโดยระบบประมวลผลควบคุมด้วยโซลินอยด์วาลว์เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงความสบายในการเดินทางมากขึ้น และพวงมาลัยไฟฟ้า
ใหม่!! ติดตั้งระบบ God’s Eye หรือ LiDAR (Light Detection and Ranging System) บนหลังครถซึ่งเป็นระบบตรวจจับแสงและวัดระยะวัตถุทำงานโดยการส่งแสงเลเซอร์ไปกระทบวัตถุหรือพื้นผิวต่างๆเพื่อคำนวนระยะที่แม่นยำโดย LiDAR สามารถตรวจจับคนเดินเท้าที่ในระยะไกลสำหรับผู้ขับขี่ผสานกับระบบความปลอดภัยในตัวรถเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานของฟังก์ชั่นช่วยเหลือเพื่อการขับขี่อย่างแม่นยำ
เป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงรองรับฟังก์ชันช่วยเหลือการนำทางในเมืองความเร็วสูงเช่นสัญญาณไฟจราจร ระบบตรวจจับเส้นเลนถนนที่ผิดปกติ ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวาง และเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเซนเซอร์ทั้งหมด 32 ตัวทั่วทั้งรถ
พร้อมระบบ ADAS ทั้งเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist) ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา (LCA/ BSD/ RCTA/ DOW)
พร้อมความปลอดภัยทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution), เสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ควบคุมการทรงตัว EPS ป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control) สัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) เบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX บริเวณที่นั่งแถว 2 และ 3 เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้างหน้า-หลัง ม่านถุงลมนิรภัย หัวเข่ารวม 9 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง
เอ็มพีวีหรูจาก BYD ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ MG Maxus 9 และ Toyota Alphard กับ Toyota VELLFIRE ขายจีนพร้อมสีภายนอกใหม่สีเทา Starry Gray พร้อมสีเดิมสีดำ Night Black, สีขาวBright White และ สีน้ำเงิน Elegant Blue เริ่มต้น 339,800-449,800 YUAN หรือราว 1,589,000-2,099,000 บาทในรุ่น DM-i 5.0 PHEV 5 รุ่น และ 349,800-469,800 YUAN หรือราว 1,635,000-2,195,000 บาทในรุ่น EV 3 รุ่น
ที่มา CarNewsChina