หลังจากเปิดตัว MINI COOPER SE เจเนอเรชันใหม่ ปีนี้ MINI เพิ่มทางเลือกที่เร้าใจด้วยการเพิ่มรุ่นพลังแรงกว่าใน MINI John Cooper Works Electric
MINI John Cooper Works Electric มาในร่างเจเนอเรชันที่ 5 ในร่าง Hatch 3 ประตู SE รหัส J01 รุ่นท็อปพลังแรงซึ่งเป็นครั้งแรกของ John Cooper Works กับการก้าวสู่โลกของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
สวยเฉี่ยวด้วยโลโก้ JCW สีแดง-ขาว-ดำ ที่ได้แรงบันดาลใจจากธงตาหมากรุก และสปอยเลอร์ท้ายที่สวยเด่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ โดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ประจำตัวแบบ LED สามารถสร้างสีสันที่สะท้อนสไตล์และตัวตนของผู้ขับขี่ได้เด่นชัดยิ่งกว่าเดิมด้วยโหมดไฟซิกเนเจอร์ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW
ดูสะดุดตาเคียงข้างกับกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมโฉมใหม่ที่ขับเน้นความสปอร์ตจากกรอบสีเงิน Vibrant Silver สไตล์ความมินิมอลในงานออกแบบยังเห็นได้จากด้านข้างตัวถังที่ไม่มีแถบสีดำ เข้าคู่กับตัวถังที่เพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.28 เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน
ส่วนด้านท้ายสวยสะอาดตา มีสัดส่วนและเส้นสายของตัวรถที่ดูทรงพลัง และคาดกลางด้วยแถบสีดำแนวนอนบริเวณกึ่งกลางฝากระโปรงท้าย และล้อลายเท่ขนาด 18 นิ้ว แบบ Slide spoke ในดีไซน์ทูโทนพร้อมยาง 225/40R18 แบบเป็นล้อแบบใช้อลูมิเนียมรีไซเคิลมาพร้อมกับชุดแต่ง Favoured Trim เพิ่มความโฉบเฉี่ยว ตอบรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกองค์ประกอบ
ภายในเต็มไปด้วยโทนสีแดงและดำอันเป็นเอกลักษณ์ของ John Copper Works ทั้งพวงมาลัยสปอร์ต JCW สีดำที่ประดับด้วยตะเข็บสีแดงและหุ้มผ้าที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อให้จับถนัดมือ เบาะสปอร์ต JCW ให้การรองรับที่มั่นคงระหว่างการขับขี่แบบสุดตัว ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงตัดกับหนังเทียมสีดำเช่นเดียวกับผิวหน้าของคอนโซล นอกจากนี้ ระบบ MINI Experience Modes
ในรุ่นนี้ ยังมีโหมด Go-Kart ที่เพิ่มเข้ามาสำหรับรถยนต์ตระกูล JCW โดยเฉพาะเพื่อเติมกลิ่นอายของมอเตอร์สปอร์ตให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโหมดนี้จะตั้งค่าพวงมาลัยให้ไวมากขึ้น คันเร่งตอบสนองเร็วขึ้น และแสดงข้อมูลเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลมด้านหน้า ทั้งแรงบิด กำลังเครื่องยนต์ และ แรง G แบบเรียลไทม์
พร้อมระบบ Head-up Display ก็ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลสำคัญของตัวรถได้โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนอีกด้วย
เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยมือของทีมงาน BMW บนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายดายด้วยระบบสัมผัส แสดงผลด้วยภาพกราฟิกเคลื่อนไหวที่สวยงามในทุกหน้าจอ และทำงานร่วมกับฟังก์ชันอื่นๆได้หลากหลาย
เช่นเชื่อมต่อกับแพ็คเกจ MINI Navigation ขณะขับขี่เพื่อช่วยนำทางด้วยระบบคลาวด์ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายแบบ 5G ในตัว และยังสามารถแสดงภาพสามมิติเพื่อช่วยนำทางผ่านจุดเลี้ยวที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจ ส่วน MINI Connected Store ยังมอบแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ครบครันทั้งแอปเพื่อการใช้งานและความบันเทิง รวมถึงเกม แอปสตรีมเพลงและวิดีโอ
ส่วนฟีเจอร์กุญแจรถดิจิทัล MINI Digital Key Plus ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับ ด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอชให้เป็นกุญแจรถ ซึ่งสามารถเปิดใช้งาน Welcome Light ได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะ 3 เมตรจากตัวรถ และสามารถปลดล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อเดินเข้ามาในระยะ 1.5 เมตร รวมไปถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งพร้อมจะออกเดินทาง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อ Digital Key ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยและลำโพง Harman Kardon
ยังคงเป็นขุมพลังไฟฟ้าล้วนครั้งนี้พัฒนาใหม่ให้แรงขึ้นวิ่งไกลขึ้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมแบเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 54.2 kWh ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ฉับไวใน 5.9 วินาที วิ่งไกลสุด 371 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 436 กิโลเมตร (NEDC) ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 kW 0-100% ภายใน 5.15 ชั่วโมง ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 kW โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10-80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที นอกจากนี้ แบตเตอรี่รุ่นนี้ยังรองรับการตั้งค่าการชาร์จต่างๆเช่น เวลาชาร์จ ระดับแบตเตอรี่ที่ต้องการ และอื่น ๆ พร้อมการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่จากหน้าจอมือถือผ่าน MINI App
นอกจากนี้ ตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในพื้นรถยังทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้รถมีความสามารถในการยึดเกาะและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ผสานกับช่วงล่างที่ปรับแต่งมาเพื่อการควบคุมที่คล่องตัว ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ฐานล้อที่ยาวขึ้นและขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน (Short overhang) ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น คงไว้ซึ่งสไตล์การขับขี่แบบโกคาร์ทไว้ได้อย่างครบถ้วน การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ พร้อมความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น
- ควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC)
- กระจายแรงเบรก Dynamic Brake Control (DBC)
- ควบคุมระยะการจอด Park Distance Control (PDC)
- เตือนก่อนการชนด้านหน้า Post-Crash Collision Warning (PC iBrake)
- กล้องรอบคัน Surround View
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน
- เซนเซอร์ควบคมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
MINI John Cooper Works Electric รุ่นแรกนี้คาดเป็นรถนำเข้าจากจีนผลิตที่โรงงาน Spotlight Automotive ที่เมืองจางเจียกัง มณฑลเจียงซูร่วมทุกฝั่งละ 50:50 ทั้ง BMW และ GWM มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White, ดำ Midnight Black II และน้ำเงิน Blazing Blue เตรียมเปิดราคาเร็วๆนี้คาดช่วงงาน Bangkok International Motor Show 2025 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม- 6 เมษายน