ทำตลาดออสเตรเลียมาหนึ่งปีจนตอนนี้ Polestar 4 มียอดขายสะสมมากถึง 1,033 คันและแซงหน้าเพื่อนร่วมค่ายอย่างเห็นๆและล่าสุดเปิดตัวรุ่นปี 2026 ออกขาย
Polestar 4 MY2026 ปรับเล็กน้อยบนหน้าตาเดิมโดยเน้นปรับภายในเป็นส่วนใหญ่ในร่างคอมแพ็คเอสยูวีทรงคูเป้
หล่อโดนใจสาวก
ตั้งแต่ โลโก้ดาวเหนือบนขอบฝากระโปรงหน้า ในชุดกระจังหน้าปิดทึบทั้งแผงประกบกับไฟหน้า LED ดีไซน์ใบมีดคู่ ชุดกันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศทรงสปอร์ตเสริมสเกิร์ตในตัว ด้านข้างเก๋ด้วยที่เปิดประตูดีไซน์ซ่อนรูปเรียบเนียนกับกระจกไร้กรอบหรือ Hardtop แบบโอเปร่า กระจกมองข้างดีไซน์เอกลักษณ์ หลังคารถที่ลาดลง ไฟท้าย LED ดีไซน์ U คว่ำ แนวยาว จุดสังเกตรุ่นนี้ไม่มีกระจกหลังบานใหญ่มาให้มาเป็นแนวปิดทึบ ล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 20 พร้อมยาง 255/50R20 จากค่าย Pirelli P Zero tyres
ตัวรถสร้างจากพื้นฐาน Sustainable Experience Architecture (SEA) ถึงแม้วางตำแหน่งการตลาดให้เล็กกว่า Polestar 3 มิดไซซ์เอสยูวี
- ความยาว 4,840 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 2,139 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,534 มิลลิเมตร
- ฐานล้อ 2,999 มิลลิเมตร
- ความสูงจากใต้ท้องรถ 166 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,230-2,355 กิโลกรัม
ภายในปรับเปลี่ยน
ในส่วนของพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนังในส่วนสวิตช์ควบคุมการทำงานของจอสัมผัสและชุดมาตรวัดความเร็วแบบปุ่มกดแทนปุ่มสัมผัสออกแบบให้ใช้งานง่ายขึ้น
นอกนั้นคงเดิมทั้งจอมาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 10.2 นิ้ว กับจอสัมผัสเชื่อมต่อระบบความบันเทิงและการสื่อสารขนาดใหญ่ 15.4 นิ้ว พร้อม Google built-in รองรับ Android Automotive OS มีคุณสมบัติในตัวของ Android เช่น Google Maps, Google Assistant Google Play Store และรองรับ Apple CarPlay ลำโพง 8 จุด
เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบฟอกอากาศ Air particle filter สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นด้วยไฟ Ambient lighting มีที่ชาร์จมือถือไร้สาย หลังคารถแบบพาโนรามิกซันรูฟที่เปิดประตูภายในดีไซน์เก๋
เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนัง NAPPA, ผ้าไมโครเท็กซ์ Bio-attributed Micro Tech และหนังที่ทำจากหนังสัตว์ที่ผ่านมาตรฐานหลักสวัสดิภาพสัตว์หรือ Animal welfare พรมปูพื้นทำจาก ECONYL มีพื้นที่สัมภาระด้านท้าย 526 ลิตร และถ้าพับเบาะมีพื้นที่มากขึ้น 1,536 ลิตร และที่วางของใต้ฝากระโปรงหน้า 15 ลิตร
ขุมพลังไฟฟ้าล้วน
ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า permanent magnet synchronous motor พร้อมความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 94 kWh แบบ NMC ให้ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมีสองความแรงเริ่มที่
- รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิด 686 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 590 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 694 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 3.8 วินาที
- รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ให้กำลัง 272 แรงม้า แรงบิด 343 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้งทำได้ 620 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 729 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.1 วินาที
ทั้งคู่การชาร์จแบบกระแสตรงหรือชาร์จเร็ว DC รองรับการชาร์จสูงสุด 200 kW จาก 10-80% ภายในเวลา 30 นาที และชาร์จแบบกระแสสลับหรือขาร์จช้า AC รองรับการชาร์จสูงสุด ทั้ง 11 คู่กับเกียร์อัตโนมัติ Single Speed มาพร้อม Super Vision Advanced Driver Assistance System จาก Mobileye ที่มีกล้อง 11 ตัว เรดาร์ 1 ตัว และเซนเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัวเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ความปลอดภัยครบครัน
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน 7 จุด ไม่มีถุงลมนิรภัยคั่นกลางระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking (AEB) เมื่อมีรถหรือคนมาจากด้านหน้าด้านหลัง จักรยาน และรถสวนทางขณะเลี้ยวทางแยก
- เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System (FCW)
- ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive cruise control (ACC)
- ช่วยควบคุมความเร็วเว้นระยะห่างจากรถยนต์คันหน้าและรักษาตำแหน่งของรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Pilot Assist สูงสุด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS)
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Centering Assist (LCA)
- ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน Lane Change Assist (LCA)
- เตือนสัญญาณจราจร และตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดอัจฉริยะ Road sign recognition with intelligent speed limit assist
- ช่วยตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ Driver monitoring system
- ตรวจสอบจุดอับสายตา Blind-spot monitoring and intervention
- ตรวจวัดลมยาง Tire pressure monitoring system
- เบาะนั่งคู่หน้ามีระบบช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและที่หลังจากการสะบัดของศีรษะได้ Front seat occupant whiplash protection
- เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร Interior motion sensor
ออปชันเสริมต้องเพิ่มเงินจากราคาตัวรถ มี 3 ชุด
- ชุด Pro Pack มีทั้ง ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้วพร้อมยาง 255/45R21 Michelin Pilot Sport 4 EV และจุกลมยางสีทอง เข็มขัดนิรภัย 3 จุด มีทั้งสีดำและสีเหลือง
2. ชุด Plus Pack เพิ่มมาเช่นใหม่!! โลโก้ Polestar ด้านหน้าแบบเรืองแสง ใหม่!! ไฟส่องสว่างภายในให้ความสว่างระดับสูงและใหม่!! ตาข่ายเก็บสัมภาระท้ายรถ พร้อมออปชันเสริมดั้งเดิมของชุดชุด Plus Pack ทั้งไฟหน้า Pixel LED headlights กับปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive high-beam ชาร์จ AC สูงสุด 22 kW กระจกมองข้างลดแสงอัตโนมัติ ฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Hands-free power tailgate
จอ Head-Up Display ขนาด 14.7 นิ้วพร้อมสีข้อความในจอ HUD เป็นสีเหลือง ลำโพง Harmon Kardon 12 จุด กำลังขับ 1,400 วัตต์ อัปเกรดเพิ่มลำโพงฝังที่พนักพิงศีรษะด้านหน้าแต่ละข้าง รวมทั้งหมด 16 จุด จอสัมผัสความบันเทิงด้านหลัง เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา-หลัง 3 จุด พร้อมระบบฟอกอากาศ
พวงมาลัยปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางพร้อมตำแหน่งความจำและระบบอุ่นที่พวงมาลัย เบาะนั่งคู่หน้าปรับเพิ่มตำแหน่งปรับสรีระด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบอุ่นเบาะเบาะเย็นและนวด เบาะหลังติดตั้งระบบเบาะเย็นและอุ่นเบาะ และชุดอัปเกรดหนัง NAPPA แบบเจาะรู ในราคาถูกลงโดยขึ้นอยู่กับสีที่เลือก พนักพิงศีรษะแบบ Comfort ด้านหลัง และแผงบุหลังคาขึ้นรูปทำจากผ้าแบบขัดเงา
3. ชุด Performance Pack สำหรับรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง ล้อสปอร์ตขนาดใหญ่ 22 นิ้ว พร้อมยาง Pirelli P Zero ขนาด 265/40R22 ช่วงล่างออกแบบพิเศษ Polestar Engineered chassis tuning ดิสก์เบรกล้อหน้าพร้อมคาลิปเปอร์สีทองจาก Brembo พร้อมจุกลมยางสีทอง และเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสีทอง
หนึ่งในความหวังของหมู่บ้านดาวเหนือที่จะบุกตลาดเวอร์ชันพวงมาลัยขวาอย่างเป็นทางการก็สำเร็จตรงใจสาวกอย่าง Polestar 4 โดยมียอดจดทะเบียนมากถึง 151 คันในเดือนกันยายนที่ผ่านมาเปิดราคาขาย 2 รุ่นย่อยไม่รวมค่า Drive-Away หรือราคารถรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการนำรถออกไปใช้งาน (ค่าภาษี, ค่าจดทะเบียน, และค่าประกันภัย) $78,500-$88,350 หรือราว 1,669,000-1,879,000 บาท
ที่มา Carexpert