หลังจากที่เปิดตัวพี่ใหญ่อัครเอสยูวีหรู Range Rover เจนใหม่ไปได้ไม่นานจนมีสาวกรถหรูถามถึงกันว่าแล้ว Range Rover Sport เจนใหม่จะมาหรือไม่
ล่าสุดมาถึงเป็นที่เรียบร้อยกับพี่รอง Range Rover Sport เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่หน้าตาพื้นฐานถอดแบบมาจากพี่ใหญ่ Range Rover ในขนาดที่ย่อลงมาอีกนิดนึงหน้าตาคล้ายกับพี่ใหญ่ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ในขนาดที่เล็กลงพร้อมปักชื่อ Range Rover ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟหน้า LED คุณภาพสูง แบบ Matrix-Laser พร้อมไฟ LED DRL รูปตัว J ในโคมเดียวกัน รับกับกันชนหน้าดีไซน์เท่ ที่เปิดประตูซ่อนรูปกลมกลืนกับตัวถัง พร้อมหลังคารถที่ลาดลง และช่องระบายอากาศทรงเท่ติดข้างบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ด้านท้ายต่างจากพี่ใหญ่ตรงที่ ไฟท้าย LED มาในแบบแนวนอน พร้อมตัวอักษร Range Rover สีดำ กันชนหลังสีทูโทนกับลิ้นสปอยเลอร์สีดำและท่อไอเสียเดี่ยวสองฝั่งติดกรอบโครเมี่ยม และเสาอากาศครีบฉลามคู่ ล้ออัลลอยขนาด 21-23 นิ้ว สร้างจากแพลตฟอร์ม MLA-Flex architecture แบบเดียวกับพี่ใหญ่ Range Rover
ภายในหรูเทียบเท่าพี่ใหญ่ตั้งแต่ ด้วยเบาะนั่งปรับระดับด้วยไฟฟ้า 22 ทิศทาง เบาะหลังสามที่นั่งพับได้แบบ 40:20:40 หุ้มด้วยผ้า Ultrafabircs หรือหนัง Semi-Aniline เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิด้วยการสัมผัสมาพร้อมระบบฟอกอากาศเสริมระบบ Nanoe จอสัมผัสขนาดใหญ่ 13.1 นิ้วแบบโค้ง Pivo Pro touchscreen พร้อมลำโพงคุณภาพจาก Meridian 29 จุด กำลังขับ 1,430 W มาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 13.7 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน และ Head-Up Display จอแสดงผลบนกระจกบังลมหน้า
ขุมพลังมีให้เลือกหลากหลายทั้งสันดาปล้วน เบนซินเทอร์โบ กับ เบนซินเทอร์โบ MHEV ดีเซลเทอร์โบ MHEV และเบนซินเทอร์โบ PHEV เริ่มกันที่เบนซินเทอร์โบ MHEV – Mild Hybrid P360 3.0 ลิตร 360 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-5,000 รอบ/นาที, เบนซินเทอร์โบ MHEV – Mild Hybrid P400 3.0 ลิตร 400 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 550 นิวตันเมตรที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที, เบนซินเทอร์โบ P530 4.4 ลิตร V8 530 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-4,600 รอบ/นาที ที่หยิบยืมมาจากค่าย BMW
ส่วนดีเซลเทอร์โบมีทั้งขนาดเริ่มที่ D300 MHEV – Mild Hybrid 3.0 ลิตร 300 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 650 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที, D350 MHEV – Mild Hybrid 3.0 ลิตร 350 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,000 รอบ/นาที ในส่วนเครื่องยนต์ MHEV – Mild Hybrid ทั้งเบนซินเทอร์โบและดีเซลเทอร์โบ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟขนาดเล็ก 48 V รองรับแรงบิดมากถึง 1,400 นิวตันเมตร ช่วยเสริมพละกำลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์
ปิดท้ายด้วยเบนซินเทอร์โบ PHEV เริ่มที่ P440e 3.0 ลิตร 440 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 620 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 114 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 140 กม./ชม. พร้อมชาร์จที่บ้าน Wallbox AC ชาร์จช้า 0-100% ชาร์จได้ 5 ชม. ชาร์จเร็ว DC รองรับสูงสุด 50 kW 0-80% ในเวลา 40 นาที และ P510e 3.0 ลิตร 510 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที พร้อมความจุแบต 38.2 kWh มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 142 แรงม้า โดยวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้า 113 กม. ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้า 150 กม./ชม. พร้อมชาร์จที่บ้าน Wallbox AC ชาร์จช้า 0-100% ชาร์จได้ 5 ชม. ชาร์จเร็ว DC รองรับสูงสุด 50 kW 0-80% ในเวลา 40 นาที
ทุกขนาดเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 แบบเดียวกับพี่ใหญ่ Range Roverที่มีโหมดออฟโรดถึง 6 โหมด เลือกได้ตามเส้นทางที่แตกต่าง ตั้งแต่ โหมดการขับขี่ทางเรียบไฮเวย์ Normal Driving, โหมดลุยน้ำ WADE, โหมดลุยในทางโขดหิน Rock Crawl, โหมดลุยทางโคลนและแอ่งโคลน MUD And Ruts, โหมดลุยทางพื้นหญ้า-กรวด-หิมะ Grass- Gravel- Snow และโหมดลุยพื้นทราย Sand และ ล็อกเฟืองท้าย Differential Controls รวมถึงล้อหลังเลี้ยวได้เพียง 7.3 องศา หรือ rear-wheel steering system พร้อมช่วงล่างถุงลมพร้อม Air springs ลุยน้ำได้ 900 มม.
Range Rover Sport เจนใหม่มีหลายระดับความหรูตั้งแต่รุ่น SE, Sport Dynamic SE, Autobiography และ First Edition เริ่มขายแล้วที่อังกฤษ ส่วนรุ่น EV ไฟฟ้าล้วนนั้นมาอีกทีปี2024 ส่วนเมืองไทยอาจเปิดตัวประมาณปี 2023
ที่มา Carscoops