นับตั้งแต่ BMW X5 G05 และ BMW X6 G06 ทำตลาดมา 4 ปี กลายเป็นเอสยูวีหรูที่ประสบความสำเร็จและสร้างกำไรให้กับทางค่าย BMW มาตลอด
ล่าสุดเปิดตัวรุ่นปรับโฉมหรือ LCI พร้อมกันทั้งสองรุ่น เริ่มที่กระจังหน้าทรงไตคู่ดีไซน์ใหม่พร้อมเรืองแสงได้ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นออปชันเสริมและใส่ครั้งแรกในรุ่น X5 รับกับกันชนหน้าออกแบบใหม่มีคิ้วโครเมียมรูปตัว U และช่องระบายอากาศทรงแปดเหลี่ยในรุ่น X6 งานนี้ตัดไฟตัดหมอกหน้า LED ออกไป พร้อมชุดไฟหน้า LED ใหม่ทั้งแบบ Laserlight และ Adaptive พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime รูปตัวลูกศรในชุดโคมไฟหน้า
ด้านท้ายปรับในส่วนไฟท้าย LED ดีไซน์แบบลูกศร พร้อมกันชนหลังออกแบบใหม่เสริมคิ้วเสริมในชุดกันชนหลังให้ดูบึกบึนกว่าเดิม ล้ออัลลอยลายใหม่ให้เลือกตั้งแต่ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางหน้า 275/45 R20 และยางหลัง 305/40 R20 ขนาด 21 นิ้วพร้อมยางหน้า 275/40 R21และยางหลัง 315/35 R21 และ 22 นิ้ว พร้อมยางหน้า 275/35 R22 และยางหลัง 315/30 R22
ส่วนด้านท้ายของ BMW X6 LCI ยังคงเดิมด้วยไฟท้าย LED ขนาดกว้างรูปตัว L แต่กันชนหลัง ส่วนล่างปรับในส่วนลิ้นสปอยเลอร์หลังเป็นสีเดียวกับตัวรถ และคิ้วท่อไอเสียคู่สองฝั่งตกแต่งด้วยขอบสีดำเข้ม และกระจกมองข้างทรงปีก
ภายในยกความทันสมัยมาจาก BMW X7 LCI ด้วย จอลอยตัวขนาดใหญ่ที่รวมเอาจอมาตรวัดและจอสัมผัสอยู่ในชุดเดียวกัน โดยมาตรวัดดิจิทัลมาขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วและจอสัมผัส 14.9 นิ้ว BMW Curved Display พร้อมระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 8 หรือ iDrive 8 ควบคุม รองรับการทำงานการเชื่อมต่อที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ช่องแอร์ใหม่ดีไซน์เรียวขึ้นในส่วนคอนโซลกลาง ปุ่มการใช้งานที่ลดจำนวนลงเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น คอนโซลเกียร์งานนี้จะไม่เห็นคันเกียร์อีกต่อไปเป็นแบบปุ่มบิดไปมาแทนตกแต่งลายคริสตัล พร้อมไฟ Ambient Light ถัดจากช่องแอร์คอนโซลกลาง พร้อมเบาะนั่งหนังแท้ใหม่ หลังคาแบบ Panorama glass roof Sky Lounge เพิ่มความโปร่งอย่างโอ่อ่าเหนือระดับ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40 ทั้งคู่ ในรุ่น X5 LCI รองรับปริมาตรการบรรจุของตั้งแต่ 650 ลิตรถึง 1,870 ลิตร ประตูท้ายที่สามารถแยกเปิดสองส่วนเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายสัมภาระ เปิดปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้าและรุ่น X6 LCI เบาะหลังพับแบบ 40:20:40 เช่นกันแต่สามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มความจุของพื้นที่จากเดิม 580 ลิตร เป็น 1,530 ลิตร
ขุมพลังมีทั้งส่วนเบนซินเทอร์โบมีด้วยกันถึงสองความแรงตั้งแต่เบนซินเทอร์โบ 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รหัส B58B30M1 เพิ่มกำลังมาเป็น 380 แรงม้า ที่ 5,200 – 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,000 รอบต่อนาที ในรุ่น xDrive40i แรงสุดในรุ่น M60i xDrive กับพลังเบนซินเทอร์โบคู่ M TwinPower Turbo แบบ twin-scroll turbochargers V8 4.4 ลิตร S63B44T4 ให้กำลังสูงสุดถึง 530 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 4,600 รอบต่อนาที
ดีเซลเทอร์โบ 6 สูบ 3.0 ลิตร BMW TwinPower Turbo รหัส B57D30B 286 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ในรุ่น xDrive30d โดยทั้งสามขนาดความแรงมาพร้อมระบบ Mild Hybrid แบตก้อนเล็กสุดและมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กสุด เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดัน 48 V เสริมพละกำลังขึ้นมาอีก 12 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตรในขณะสตาร์ทรถและเร่งความเร็ว
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่าที่เคยด้วยการใช้ AdBlue สารพิเศษที่ช่วยลดปริมาณไนโตรเจนออกไซด์ในไอเสีย โดยทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อแตกสารดังกล่าวให้กลายเป็นไนโตรเจนและน้ำ ซึ่งล้วนไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ปิดท้ายด้วยรุ่นเสียบปลั๊ก X5 xDrive50e เพิ่มพลังเร้าใจด้วยเบนซินเทอร์โบ 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รหัส B58B30M1 313 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 4,700 รอบต่อนาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ BMW eDrive ให้กำลังถึง 197 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 100-5,500 รอบ/นาที และสร้างแรงบิดสูงถึง 450 นิวตันเมตร
พร้อมความจุแบตเตอรี่ Lithium-ion 29.5kWh เมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังถึง 490 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตรชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าถึง 94-100 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ทุกขนาดขุมพลังจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic พร้อมขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive พัฒนากำลังขับเคลื่อนและควบคุมการทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ถ่ายแรงขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวลระหว่างล้อหลังทั้งสองข้าง ไม่ว่าบนเส้นทางออนโรดหรือออฟโรด
เบื่องต้น BMW X5 และ BMW X6 รุ่นปรับโฉมหรือ LCI เริ่มขายเมษายน ปีนี้ ประกอบที่โรงงาน Spartanburg, South Carolina ส่วนเมืองไทยอาจพบกันเร็วสุดปลายปีนี้ หรือต้นปี 2024
ที่มา BMW