สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆสาวกบีมเมอร์เมื่อ BMW XM เอสยูวีจอมพลังเสียบปลั๊ก V8 เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วย BMW XM Label Red
ตกแต่งพิเศษด้วยขอบสีแดงบริเวณกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่รวมถึงขอบกระจกลากยาวไปบนที่เปิดประตู ลิ้นสปอยเลอร์ใต้กันชนหลังและล้อขนาดใหญ่ 21 นิ้ว สีดำ Black High Gloss พร้อมยางหน้า 275/45R21 และยางหลัง 315/40R21 พร้อมสีดำทั้งคันแบบ BMW Individual Frozen Carbon Black
พร้อมออปชันเดิมทั้ง กระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมไฟส่องสว่างแบบต่อเนื่อง ไฟหน้า Adaptive LED อัจฉริยะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยและมอบแสงสว่างบนท้องถนนตลอดจนช่วงเข้าโค้งได้ดียิ่งขึ้น พร้อมปรับการทำงานไฟสูงช่วยเปิดและปิดไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนหรือมีรถด้านหน้า รับชุดกับกันชนหน้าขนาดใหญ่ในชุดฝากระโปรงหน้าออกแบบมีเหลี่ยมสันแต่มองเห็นชัดเจนในยามขับขี่
มีปลดล็อกประตูอัจฉริยะ (Comfort Access System) ให้ผู้ขับขี่สามารถปลดล็อกและสตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมระบบช่วยผ่อนแรงกระแทกขณะปิดประตูที่ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารขึ้นลงรถได้อย่างเงียบเชียบและนุ่มนวล ส่วนบริเวณด้านข้างมีแถบสีที่ชวนให้นึกถึง BMW M1
ทำให้รถดูโดดเด่นยิ่งขึ้นกับกระจกหลัง ไฟท้ายทรงเรียว LED สีดำเงา มีช่องระบายอากาศติดมาด้วยในชุดกันชนหลังใส่ลิ้นสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ฝังท่อไอเสียแนวตั้ง 4 ท่อ สองฝั่งกรอบสีทองสองฝั่ง ตราโลโก้ BMW ฝังไว้ที่กระจกรถนับเป็นครั้งแรกของค่ายที่ติตตราโลโก้ในลักษณะนี้ ส่วนตำแหน่งเดิมตราโลโก้ฟ้าขาวกลายเป็นที่ติดโลโก้ XM ขอบสีแดง
ภายในแต่งพิเศษด้วยโทนดำ/แดง ตั้งแต่ชุดเบาะนั่งหนังแท้ แบบ M Multifunctional บริเวณที่นั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า แผงคอนโซลหน้า แผงประตูหุ้มหนังสัมผัสสีดำขลิบแดงแบบ BMW Individual แผงช่องแอร์ซ้าย-ขวาตกแต่งสีดำแดง หัวเกียร์หุ้มหนังดำ/แดง พร้อมหมอนใบเล็กหนุนหลังในทีนั่งตอนหลัง
พร้อมออปชันเดิมทั้ง ภายในตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M ให้ความรู้สึกสปอร์ตและโฉบเฉี่ยวในการขับขี่ ผ้าบุหลังคายังเป็นเสมือนงานประติมากรรม 3 มิติ ลวดลายแบบปริซึมและเมื่อเปิดหลังคาก็จะพบกับหลอดไฟ LED กว่า 100 ดวงบนหลังคาที่ส่องสว่างอย่างงดงามยามค่ำคืน ชุดไฟส่องสว่างภายในและภายนอกห้องโดยสาร ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน ระบบระบายอากาศและฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสําหรับเบาะนั่งตอนหน้า ยังถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐานในรถยนต์รุ่นนี้เช่นกัน
ระบบความบันเทิงและการสื่อสารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 8 ใหม่ล่าสุด ที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น ระบบจำลองเสียงเครื่องยนต์ IconicSounds Electric ให้เสียงขับที่กระตุ้นความตื่นเต้นแม้ในโหมดการขับขี่แบบไร้มลพิษ
ระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins Diamond ยังมอบสุนทรียภาพแห่งเสียงที่ชวนดื่มด่ำแบบเต็มขั้นด้วยลำโพงให้กำลังขับ 1,475 วัตต์ และลำโพงพิเศษอีกสี่ตัวบริเวณหลังคา ทั้งหมด 15 จุด เด่นด้วยระบบเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาของตนกับรถยนต์แบบไร้สายผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto นอกจากนั้น ผู้ขับขี่ยังจะได้รับประโยชน์จาก Connected Package Professional ซึ่งช่วยให้ผู้ขับมั่นใจว่าจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและข้อมูลการจราจรอัปเดตล่าสุดเมื่ออยู่บนท้องถนน
ขุมพลังพัฒนาใหม่เพื่อความพิเศษสำหรับคุณกับเบนซินเทอร์โบคู่ V8 M TwinPower Turbo M HYBRID แบบ Plug-In Hybrid รหัส S63B44 4.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,400 รอบ/นาที ในภาคเครื่องยนต์ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ BMW eDrive 197 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิด 280 นิวตันเมตรที่ 100-5,000 รอบ/นาที
เมื่อทำงานร่วมกันได้แรงม้ามากถึง 748 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิด 1,000 นิวตันเมตรที่ 1,600-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. และไปไกลถึง 290 กม./ชม. ถ้าเพิ่มโหมดสมรรถนะ M Driver’s Package คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด M Steptronic
โดยใช้พลังงานจากลิเธียม-ไอออนแบตเตอรี่ขนาด 25.7 kWh ที่ติดตั้งอยู่ด้านใต้ท้องรถ แถมให้ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. ในโหมดไฟฟ้าล้วนและวิ่งไกลสุด 75-83 กม./การชาร์จหนึ่งครั้ง (WLTP) รองรับการชาร์จช้า 7.4 kW AC 0 – 100% ภายใน 4.25 ชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกกดปุ่ม M Hybrid ที่คอนโซลกลางเพื่อเข้าโหมดใดโหมดหนึ่งจากทั้งหมด 3 โหมด ทั้ง HYBRID, ELECTRICโหมดการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 100% และ eCONTROL
ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ M xDrive ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแรงทั้งหมดจะถูกส่งไปยังถนนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยยกระดับไดนามิกการขับขี่ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นรวมถึงโหมด Sand หรือทราย สำหรับการขับขี่บนเนินทรายและพื้นผิวถนนที่คล้ายกัน ระบบเฟืองท้าย M Sport ช่วยเสริมสมรรถนะของรถโดยกระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง ช่วยให้ตัวรถสามารถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นพร้อมเสริมเสถียรภาพการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ และช่วงล่าง Adaptive M Suspension Professional มอบการควบคุมแบบสปอร์ตโดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายแก่ผู้ขับ
BMW XM Label Red มีทั้งหมด 50 สี และสีดำแดงพิเศษมีเพียง 500 คันเท่านั้นโดยจะเปิดตัวสู่สาธารณชนในสัปดาห์หน้าที่งาน Auto Shanghai 2023 และเมืองไทยมีแนวโน้มที่จะเอาเข้ามา
ที่มา BMW