More

    CHERY บุกเมืองไทยเต็มตัวปีหน้าส่ง OMODA และ JAECOO ลุยตลาด

    กลับมาอีกครั้งสำหรับแบรนด์ CHERY หลังจากสร้างแบรนด์จนคนไทยรู้จักมากว่าสิบปีครั้งนี้แน่นอนว่ามาเองแบบเต็มตัวผ่านแบรนด์ลูก OMODA และ JAECOO

    OMODA 5

    ซึ่งจะเริ่มทำความรู้จักกับคนไทยตั้งแต่ปี 2024 มาครั้งนี้มาทำตลาดเองจากเมืองจีนไม่ผ่าน Distributor เจ้าใดๆในไทยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่านสำหรับรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่จะเปิดตัวตั้งแต่กุมภาพันธ์ปีหน้ากับ OMODA 5 EV ท้าชน BYD ATTO3 ออกแบบภายใต้แนวคิดการสะท้อนตัวตนผู้ขับขี่คนรุ่นใหม่ ที่มีความทันสมัย มีสไตล์และชื่นชอบเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    เริ่มที่กระจังหน้าทรงปิดทึบพร้อมตัวอักษร OMODA ขนาดใหญ่ติดขอบฝากระโปรงหน้าล้อมด้วยขอบไฟ DRL LED ซ้าย-ขวาโอบรับกับตัวรถัดลงมาเป็นไฟหน้าแบบ LED matrix แนวตั้งซ้าย-ขวา หลังคารถออกแบบอย่างเฉียบขาดเทียบชั้นรถยุโรปพร้อมไฟท้าย LED แนวยาวประดับด้วยตัวอักษร OMODA ล้ออัลลอยให้เลือกทั้งขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/60R17และขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 215/55R18 ตัวรถด้วยความยาว 4,400 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,824 มิลลิเมตร  ความสูง 1,588 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,444 กิโลกรัม

    OMODAภายในเหมือน OMODA 5 เครื่องสันดาปหรูเทียบชั้นกับคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น จอขนาดใหญ่ 2 จอที่รวมกัน 24.6 นิ้ว มาตรวัดดิจิทัลขนาดใหญ่ และจอสัมผัสอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแบบ Dual Screen ขนาดแต่ละฝั่งขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay กับ Android Auto ประมวลผลเร็วผ่าน  Qualcomm 8155 พร้อมที่ชาร์จมือถือไร้สาย ปุ่ม Push Start พร้อมกุญแจรีโมท Keyless Entry สามารถสั่งสตาร์ทรถด้วยกุญแจรโมทได้หรือ Remote engine start เบาะนั่งหุ่มกึ่งหนังแท้ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง คนนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง สามารถพับได้ในส่วนของเบาะหลัง 60:40 โดยความจุด้านท้ายรถ 360 ลิตร มีไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารหรือ Ambient Light มากถึง 64 สี ลำโพงคุณภาพจาก SONY 8 จุด เครื่องปรับอากาศแยกส่วนอุณหภูมิซ้าย-ขวา กันฝุ่น PM 2.5 และเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold

    ขุมพลังที่ทำตลาดในไทยเป็นแบบไฟฟ้าล้วนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวแบบ Permanent magnet synchronous reluctance motor ขับเคลื่อนล้อหน้า ความจุแบตเตอรี่ 61kWh ที่ให้กำลังมากถึง 204 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร โดยวิ่งไกลสุด 430 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มาตรฐาน WLTP หรือ 510 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมเทคโนโลยี EIC ที่ช่วยลดการใช้พลังงานของยานพาหนะได้อย่างมาก การใช้พลังงานต่ำมากเพียง 15kWh ต่อ 100 กิโลเมตร

    ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ทำได้ 7.6 วินาที โดยการชาร์จแบบชาร์จช้า AC รองรับสูงสุด 9.9 kW และชาร์จกระแสตรง DC รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 80 Kw ภายใน 35 นาที ได้ 30-80% พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 10 โหมด รองรับ V2L ได้ Vehicle-to-load ซึ่งทำให้มีพลังงานไฟฟ้าพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา และอำนวยความสะดวกต่อความต้องการพลังงานไฟฟ้าของผู้ใช้

    OMODA 5มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ L2+ และระบบช่วยผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) และความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของโครการประเมินรถใหม่ของยุโรป (E-NCAP) ทั้ง ถุงลมนิรภัย 6 จุด กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ควบคุมการทรงตัว EPS ตรวจวัดลมยาง TPMS ควบคุมการออกตัวบนทางลาดชัน HAC ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC ตรวจจับมุมอับสายตา BSD ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง LKS เตือนและควบคุมรถออกนอกเลน LDW and LDP เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA ปรับความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control with Low Speed เตือนการชนด้านหน้า FCW และเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB ปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB และตรวจจับสมาธิในการขับขี่ DMS และจะมี OMODA 5 HEV มาเสริมทัพช่วงเดือนพฤศจิกายนปีหน้า

    JAECOO

    ทางด้าน JAECOO แบรนด์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาของธรรมชาติ เรียบหรู น่าเกรงขาม เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีสุดทรงพลังที่สามารถขับขี่ได้ในทุกสภาพภูมิประเทศ ผ่านการออกแบบภายในที่มีความประณีต ความซับซ้อน และแข็งแรง ประเดิมด้วย JAECOO 7 เอสยูวีไซซ์คอมแพคท้าชน Honda HR-V Toyota Corolla Cross ด้วยหน้าตาคล้ายพี่ใหญ่ JAECOO 8 ตั้งแต่กระจังหน้าทรงเหลี่ยมรูปตัวยูไส้ในใส่แนวตั้งขนาดใหญ่ 20 ซี่ โทนโครเมียมสีดำเข้ม ปะโลโก้ JAECOO ขนาดใหญ่คู่กับชุดไฟหน้า LED ประกอบด้วยไฟ DRL LED ส่วนบน พร้อมไฟหน้ากับไฟตัดหมอกหน้า LED สองตัวใต้ชุดไฟ DRL

    รับกับกันชนหน้าดีไซน์เด่นเล่นระดับ ด้านข้างมาพร้อมที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวถังรถ กระจกมองข้างทรงสปูนหลังคารถออกแบบอย่างเฉียบขาดพร้อมราวหลังคาที่รับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ด้านท้ายเด่นสง่าด้วยไฟท้าย LED แนวยาวประดับด้วยตัวอักษร JAECOO ประกบด้วยกันชนหลังทรงหรูด้วยตัวรถที่ใหญ่กว่าเพื่อนๆ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 235/55R18 และขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/50R19

    ตัวรถนำพื้นฐานของ CHERY Explore 06 เปลี่ยนหน้าตาให้สมกับความเป็น JAECOO ด้วยแพลตฟอร์ม T1X ทำให้ตัวรถมีความยาว 4,500 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,865 มิลลิเมตร ความสูง 1,680 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,672 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 1,709 กิโลกรัม และความจุถังน้ำมัน 51 ลิตร

    JAECOO

    ภายในล้ำอนาคตกับคอนโซลหน้าทรงเหลี่ยมแท่งแนวยาวพร้อมช่องแอร์ทรงเหลี่ยมแนวตั้งซ้าย-ขวาหรูหรา เด่นด้วยจอสองจอที่ประกอบด้วยมาตรวัดความเร็วดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว จอระบบความบันเทิงเชื่อมต่อการสื่อสารทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ขนาด 14.8 นิ้ว ประมวลผลรวดเร็วด้วยชิปของ  Qualcomm 8155 ประมวลผลรายละเอียดที่ชาญฉลาดประมวลคำสั่งได้มากกว่า 20 คำสั่งใน 30 วินาที และบูตจอสัมผัสเพียง 2 วินาที สามารถให้การโต้ตอบอัจฉริยะที่ละเอียดอ่อนและเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้นแม่นยำยิ่งขึ้น การรับรู้สภาพของยานพาหนะที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

    พร้อมลำโพง 8 จุด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสามก้านทรงท้ายตัดแบบ Multi-Kinetic Flat-Bottom ปะตัวอักษร JAECOO จอแสดงผลบนกระจกหน้า AR-HUD ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารหรือ Ambient Light มากถึง 64 สี ที่ชาร์จมือถือไร้สาย ความสบายจากเบาะนั่งสองตอน 5 ที่นั่ง โดยฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางพร้อมระบบความจำ ยังมีระบบอุ่นเบาะปรับความเย็นของเบาะทุกที่นั่ง โดยเบาะหลังพับได้พิ่มพื้นที่ในการขนของมีพื้นที่วางของก่อนพับเบาะมากถึง 412 ลิตร และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่ถึง 1.1 ตารางเมตร

    JAECOOขุมพลังเป็นเบนซินเทอร์โบขนาด 1.6 ลิตร TGDI Kunpeng รหัส SQRF4J16 ให้กำลังมากถึง 197 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 290 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ DCT 7 สปีด เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีเทคโนโลยี ARDIS สามารถปรับรูปแบบการขับขี่บนพื้นผิวทะเลทรายได้แบบไดนามิก แบบเรียลไทม์ ทำให้ได้สมรรถนะสูง และการควบคุมที่แม่นยำ ทั้ง ECO, Normal, Sport, Snow, MUD, Off Road ลุยน้ำสูงสุด 600 มิลลิเมตร รวมถึงการลุยทุกรูปแบบตั้งแต่มุมไต่หรือมุมเงย Approach Angle 21 องศา มุมจาก Departure Angle 29 องศา

    ยังมีรุ่น Plug In Hybird เบนซินเทอร์โบ Kunpeng  ขนาด 1.5 ลิตร รหัส SQRE4T15C ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิด 230 นิวตันเมตรที่ 1,750-4,000 รอบต่อนาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ Ternary lithium battery 19.27 kWh เมื่อทำงานร่วมกันได้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิด 545 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุดในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ 110 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 3-speed DHT มีโหมดการทำงาน 9 โหมด ซึ่งรุ่นนี้มีแนวโน้มสูงที่จะเข้าไทย

    พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนการชนด้านหน้าและหยุดรถอัตโนมัติ FCW & AEB (Front Forward Collision Warning & Autonomous Emergency Brake) เบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน MCB (Multi-Collision Brake) ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (TRAFFIC JAM ASSIST) เตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน BSM (Blind Spot Monitoring) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและออกนอกเลน ELK (EMERGENCY LANE KEEPING ASSIST)

    JAECOOควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อม Stop&Go เตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDWS (Lane Departure Warning System) ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System) จำกัดความเร็วอัจฉริยะ ISL (Intelligent Speed Limter) อ่านป้ายจราจร TSR (Traffic Sign Recognition) ช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Brake) ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) เตือนก่อนเปิดประตูรถ DOW (Door Open Warning)  กล้องมองภาพรอบคันแบบ 540° รวมถึงหลังคารถ ที่และถุงลมนิรภัยรอบคัน 10 จุด รวมถุงลมนิรภัยคั่นกลางระหว่างเบาะหน้ากับใต้เข่าคนขับ เตรียมเปิดตัวในไทยภายในช่วงปี 2024 และ JAECOO 8 คาดพบกันต้นปี 2025

    JAECOO

    จากประสบการณ์ในตลาดจีนและทั่วโลกกว่า 20 ปีของ CHERY สร้างยอดขายรถยนต์มากกว่า 1.2 ล้านคัน ส่งออกราว 5 แสนคันทั่วโลก และในปี 2023 ได้ตั้งเป้าหมายเกินกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมียอดขายทะลุ 2 ล้านคันทั่วโลก และในปี 2024 ที่จะถึงนี้ CHERY มีเป้าหมายในการขายมากกว่า 3 ล้านคันทั่วโลก พร้อมเปิดตลาดในประเทศอังกฤษ และอเมริกา

    ความคืบหน้าในเมืองไทยได้เตรียมจัดหาสำนักงานในไทยซึ่งเคาะแล้วเป็นตึก G Tower พระราม 9 ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 แยก อสมท. ซึ่งออฟฟิศจะแล้วเสร็จช่วงกุมภาพันธ์ปี 2024 ส่วนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยจะตามเร็วๆนี้ ตั้งเป้ายอดขายในไทยช่วงแรกเป็น 18,000 คันต่อปี

    หวังจะสามารถขึ้นไปในกลุ่มท็อปทรีแบรนด์รถอีวีในไทยให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปีหลังการเปิดตัว เปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคตั้งเป้าไว้ที่ 30 แห่ง จากดีลเลอร์​ 15-20 ราย​ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและจังหวัดสำคัญของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีความตั้งใจที่จะลงทุนสร้างโรงงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคนี้อีกด้วยตั้งเป้าเฟสแรกไว้ที่ 20,000 คันต่อปีโดยโรงงานในไทยจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ปีหน้าและรุ่นแรกที่ประกอบนั้นเป็น OMODA 5

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts