More

    LEXUS IS 2026 หน้าใหม่เก๋งขับหลังขายทั่วโลกต้นปีหน้า

    LEXUS เขย่าตลาดรถหรูเปิดรุ่นไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 3 ในรอบ 12 ปี ของ LEXUS IS ร่างเดิมเจนที่ 3 หรือจะเรียกว่าเก๋งแซยิดก็เป็นได้

    Lexus

    ภายนอกปรับใหม่หน้าที่ 4

    ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่สไตล์ เล็กซัส แบบ Unified Spindle คล้ายรุ่น LBX และ LM ส่วนบนแบบมีคิ้วเสริมไฟหน้า LED 3 ดวง ย้ายตำแหน่ง Daytime Running Lights แบบ LED รูปทรงตัว L อยู่ในโคมเดียวกัน พร้อมไฟเลี้ยววิ่ง Sequential Turning Lamps กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่สปอร์ตเข้ม ด้านข้างคงเดิมทั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ทรงสปูน ที่จับประตูดึงก้าน เสาอากาศครีบฉลาม

    ด้านท้ายดีไซน์เดิมด้วยไฟท้ายแนวยาวแบบ LED อันเป็นเอกลักษณ์ กันชนหลังออกแบบลิ้นสปอยเลอร์หลังใหม่พร้อมท่อไอเสียคู่ออกสองฝั่ง เปลี่ยนมาใช้ตราสัญลักษณ์ด้านท้ายแบบตัวอักษร LETTERING แทนโลโก้ และล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้วลายใหม่สีเมทาลิกเข้มพร้อมยางหน้า 225/40R18 และยางหลัง 255/35R18

    ใหม่!! รุ่น F Sport

    มาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังใหม่ที่ช่วยลดแรงยกของท้ายรถโดยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศจากใต้พื้นรถไปยังด้านท้ายรถ ช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างราบรื่น ระบบช่วงล่างมาพร้อมล้ออะลูมิเนียมน้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่สีดำเมทัลลิกเงาดีไซน์ดุดันด้วยซี่ล้อบาง พร้อมยางหน้า 235/40R19 และยางหลัง 265/35R19 มอบความเบาสบายและคล่องตัว นอกจากนี้ ยังมีคาลิปเปอร์เบรกสีแดงพร้อมโลโก้ LEXUS เป็นอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้ โดยมีมิติตัวรถในรหัส XE30 มีดังนี้

    • ความยาว 4,720 มิลลิเมตร
    • ความกว้าง 1,840 มิลลิเมตร
    • ความสูง 1,435-1,440 มิลลิเมตร
    • ฐานล้อ 2,800 มิลลิเมตร
    • ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร

    Lexus

    ภายในใหม่หมด

    ภายใต้แนวคิด TAZUNA COCKPIT เน้นให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ใช้ได้งานอย่างเป็นธรรมชาติเริ่มที่แผงคอนโซลหน้าใหม่ทั้งแผงเน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านหุ้มหนังแบบใหม่ จอสัมผัสขนาดใหญ่ขึ้น 12.3 นิ้ว รองรับ Apple Carplay และ Android Auto ให้เป็นออปชันมาตรฐานทุกรุ่น มาตรวัดความเร็วสีแบบ TFT LCD ขนาดใหม่ 12.3 นิ้ว แสดงผลกราฟิกที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย

    นำวัสดุการตกแต่งจากไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุเอกลักษณ์เฉพาะเข้ากับแผงตกแต่ง “Forged Bamboo” ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ในตำแหน่งด้านบนของแผงคอนโซลและขอบสวิตช์ปุ่มสตาร์ทเงาอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดจากเส้นใยไม้ไผ่ที่ทอเข้ากับวัสดุช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ปราดเปรียว และสปอร์ต โดยเป็นวัสดุที่ต่อยอดมาจากแนวคิด “Bamboo CMF Concept”

    Lexus

    ติดตั้งไฟส่องสว่างเส้นแนวนอนในส่วนกลางของชุดแผงคอนโซลหน้า ใต้แผงสวิตช์แอร์ ใต้พื้นวางเท้าทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งคู่หน้า และมีไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light ให้เลือกถึง 14 สี และอีก 50 สีสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ พร้อมลำโพงขั้นเทพจาก Mark Levinson 7 จุด ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการจัดวางลำโพงและปรับแต่งคุณภาพเสียงให้เหมาะสมที่สุด มอบความรู้สึกสบายและเต็มอิ่ม ถือเป็นอุปกรณ์เสริมจากโรงงาน และลำโพงมาตรฐาน Lexus Premium Sound 10 จุดเป็นออปชันมาตรฐาน พร้อมที่เสียบชาร์จ USB Type-C 2 จุด ที่ด้านหน้าของคอนโซลกลาง และ 2 จุดสำหรับด้านหลัง

    Lexus

    ปรับตำแหน่งที่ชาร์จมือถือไร้สายใหม่อยู่หน้าคอนโซลเกียร์แบบ Gen5 (มาตรฐานการชาร์จ: Qi) ซึ่งมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับสมาร์ทโฟนได้หลากหลายพร้อม ไฟส่องสว่างที่วางแก้วน้ำ เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มหนังกลับ Ultrasuede ลวดลายพิเศษช่วยเสริมให้มีสไตล์โดดเด่นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ มีอุปกรณ์จ่ายไฟกระแสสลับให้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกโดยเสียบปลั๊กได้ 1 จุดในรถ เป็นไฟกระแสสลับ 100 โวลต์ 1,500 วัตต์ แบบปลั๊กเสียบ สามารถจ่ายไฟให้รถยนต์ได้แม้จะเสียบสายไฟไว้

    โดยทำงาน 2 แบบทั้งจ่ายไฟจากแบตเตอรี่อย่างเดียวพอไฟหมดก็หยุดหรือจะเลือกให้ติดเครื่องมาชาร์จแบตหากแบตหมดก็ได้ มาพร้อมแผงเสียบกระจกเพื่อให้สายไฟลอดออกมาจากตัวรถได้ ทำหน้าที่กันน้ำฝนและกันแมลงเข้ารถ โดยเป็นออปชันเสริม

    Lexus

    ขุมพลังเดิม

    เลือกได้ทั้งเบนซิน Hybrid ขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2AR-FSE ในรุ่น IS300h ให้พลังแรง 178 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 221 นิวตันเมตร ที่ 4,200-5,400 รอบต่อนาที ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า รหัส 1KM แรงม้าอยู่ที่ 143 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันจะได้แรงม้ารวมสูงถึง 223 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ECVT รหัส L210 ขับเคลื่อนล้อหลัง

    ในรุ่น IS350 มาพร้อมเบนซินสันดาปล้วนใหญ่สุด V6 ขนาด 3.5 ลิตร รหัส 2GR-FKS ได้แรงม้าสูง 318 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ แบบ 8 สปีดพร้อม Sport Direct Shift รหัส AA81E ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super ECT รหัส A760H ในรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

    LEXUSรวมถึงปรับปรุงในส่วนของระบบบังคับเลี้ยวทั้งพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) เพื่อให้เสถียรภาพของรถดีขึ้นจากการใช้มอเตอร์แรงเฉื่อยต่ำมาใช้ และเปลี่ยนจากแบบแร็คโคแอกเชียลทั่วไปเป็นแบบแร็คขนานทำให้มุมเลี้ยวลดลงส่งผลให้สาวพวงมาลัยสบายยิ่งขึ้น กับช่วงล่างแปรผันแปรอัตโนมัติ (AVS) นำแอคชูเอเตอร์โซลินอยด์เชิงเส้นในตัวพัฒนาใหม่มาใช้ แทนแอคชูเอเตอร์แบบขั้นบันไดทั่วไป ทำให้การตอบสนองแรงหน่วงดีขึ้นถึง 4 เท่าเพื่อการขับขี่ที่คมขึ้น

    ใหม่!! Lexus Teammate Advanced Drive ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ เพื่อช่วยสนับสนุนการขับขี่ในสภาพการจราจรติดขัดบนทางด่วน โดยทำงานร่วมกับเซนเซอร์ กล้อง เรดาร์ และระบบนำทางความละเอียดสูง เพื่อควบคุมการเร่ง เบรก และเลี้ยวรถ ทำให้ผู้ขับขี่ลดความเหนื่อยล้าและมีสมาธิกับสภาพแวดล้อมได้มากขึ้นพร้อมความปลอดภัย Lexus Safety System+ ปรับปรุงใหม่และเพิ่มใหม่ให้กับทุกรุ่นด้วย

    • ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบเรดาร์ Dynamic Radar Cruise Control (ACC)
    • แจ้งเตือนป้ายจราจรในรถยนต์ Road Sign Assist (RSA)
    • แจ้งเตือนการล่าช้าของรถ Departure Delay Notification (TMN)
    • ช่วยเหลือการขับขี่เชิงรุก Proactive Driving Assist (PDA) คาดการณ์ความเสี่ยงตามสถานการณ์การขับขี่ เพื่อช่วยเหลือการขับขี่และป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่เข้าใกล้อันตรายมากเกินไป
    • ป้องกันก่อนการชน Pre-Collision System (PCS) ปรับปรุงใหม่ ขยายการทำงานรองรับคนเดินเท้า (กลางวัน/กลางคืน) และนักปั่นจักรยานจากกลางวันเป็นกลางคืน และรถจักรยานยนต์ (กลางวัน)
    • ใหม่!! ช่วยบังคับเลี้ยวฉุกเฉินพร้อมระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติ Emergency Steering Support with Active Steering
    • ใหม่!! ช่วยเตือนขณะเดินหน้า Front Cross Traffic Alert (FCTA)
    • ใหม่!! ตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่ Driver Monitor Integration
    • เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Automatic Emergency Braking (AEB)
    • ปรับไฟสูง-ต่ำ อัจฉริยะ Intelligent High-Beam System
    • ช่วยเตือนจุดบอดช่วยเตือนขณะถอยรถ Blind Spot Monitor (BSM)
    • ช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
    • ถุงลมนิรภัยรอบคันมีถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

    LEXUS

    LEXUS IS 2026 ไมเนอร์เชนจ์ใหญ่ มีสีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 8 สี รวมถึงสีใหม่ สีเทา “Neutrino Gray” สะท้อนถึงโลกแห่งความเร็วผ่านประสบการณ์การขับขี่ ตอบสนองทุกความต้องการ เตรียมขายทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2026 ซึ่งรวมถึงเมืองไทยเน้นขายแต่ฟลูไฮบริด

    ที่มา Carwatch

     

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts