More

    5 ที่สุด Luxury MPV ไฟฟ้าแดนมังกร ขายในไทย ค่าตัว 1.5-3 ล้านบาท

    ทุกวันนี้ยานยนต์ไฟฟ้าได้รับการตอบรับดีด้วยค่ายรถหลายค่ายเปิดตัวเพื่อตอบโจทย์การใช้งานตั้งแต่เก๋งจนถึงเอสยูวี

    แต่ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันนั่นคือกลุ่ม Luxury MPV ขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนและวันนี้ Car2Day รวม 5 ที่สุด Luxury MPV พลังไฟฟ้าล้วนจากแดนมังกรโดยเรียงลำดับราคาตั้งแต่ 1,500,000-3,000,000 บาท บวกลบเริ่มกันที่

    MG MAXUS 7  1.769 ล้านบาท 

    MG

    เอ็มพีวีไฟฟ้าค่าตัวถูกที่สุดในกลุ่มเริ่มต้น 1,769,000 บาท นั่นคือ MG MAXUS 7 ภายนอกมาพร้อมกระจังหน้าแนวใหม่ Grille less Design ที่ให้ความหรูหราแบบเรียบง่ายด้วยชุดแถบไฟหน้า LED รมดำลากยาวไปถึงไฟหน้าแนวตั้งสองฝั่ง ที่เปิดประตูดีไซน์เรียบเนียนกับตัวถัง หลังคาพาโนรามิกซันรูฟแบบ One Touch ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ด้านท้ายเรียบง่ายแต่สวยงามด้วยชุดไฟท้าย LED รมดำลากยาวไปถึงไฟท้ายดีไซน์แนวตั้งเลข 7 ตรงกลางของชุดแถบไฟติดตั้งตราโลโก้ตัวอักษร MG สปอยเลอร์หลังพร้อมฝาท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า

    MG

    ภายในเน้นไปในรูปแบบสปอร์ต 7 ที่นั่ง แบบ 2+2+3 หุ้มหนัง NAPPA และหนังสังเคราะห์โดยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมปรับอุณหภูมิร้อน – เย็น ได้ เบาะนั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat ปรับแบบแมนนวล ที่ออกแบบให้โอบรับกระชับทุกสรีระ ตกแต่งภายในด้วยสีทูโทน

    จอคู่ที่บอกทั้งมาตรวัดความเร็วดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว จอสัมผัสตรงกลางขนาด 12.3 นิ้ว ลำโพงคุณภาพ 8 จุด รองรับ Apple Car Play และ Android Auto พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type-A และ Type-C ช่องแอร์แนวนอนยาวใต้จอทั้งสาม ที่ชาร์จมือถือไร้สาย ปุ่มการทำงานของเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกโซนด้านหน้าและหลัง พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 ที่วางแก้วน้ำคู่ในชุดคอนโซลกลาง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติและช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V

    MG

    ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ด้วยความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ternary lithium ขนาด 90 kWh วิ่งไกลสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 480 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ให้ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง โหมด Normal, Eco และ Sport มี ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย

    ชาร์จได้ทั้ง AC กระแสสลับ และ DC กระแสตรงเริ่มที่ ชาร์จแบบเร็ว DC Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 30% – 80% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รองรับการชาร์จสูงสุด 120 kWh ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 5%–100% ใช้เวลาประมาณ 8 .30 ชั่วโมง รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kWh รองรับระบบ V2L เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าระดับ 6.6 kW

    MG

    ความปลอดภัย ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 25 ระบบ มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) สีเทาหลังคาดำ Concrete Grey / Black Top และสีภายในดูเรียบหรูด้วยโทนสีดำและสีน้ำตาล

    DENZA D9 1.9999-2.6999 ล้านบาท 

    DENZA D9

    DENZA D9 ผลิตที่โรงงานเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน ประเทศจีน มาพร้อมหน้าตาเน้นหรูหราด้วยชุดกระจังหน้าทรงทึบสีเงินแนวตั้ง 12 ซี่ คล้าย Alphard ปะตราโลโก้เด่น พร้อมชุดตกแต่งสีเงินที่ขอบกระจก ไฟเลี้ยววิ่ง Sequential หลังคา Dual Panoramic Sunroof ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้าจาก e-Platform 3.0

    DENZA D9

    ภายในหรูหราสง่างามเทียบเท่าคู่แข่งตั้งแต่เบาะนั่งหนังแท้ 7 ที่นั่ง 2+2+3 แบบ NAPPA โดยเบาะนั่งแถวที่สองมาแบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวด เบาะอุ่น ระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์

    โต๊ะพับและที่วางแก้ว ตกแต่งด้วยวัสดุหนัง เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง และฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ทุกที่นั่งมีระบบอุ่นเบาะ ระบายอากาศ และนวดเพื่อผ่อนคลายพร้อมตู้เย็นขนาด 7.5 ลิตร ปรับองศาตั้งแต่ -6 จนถึง 50 จอสัมผัส 15.6 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto จอหลังเบาะคนขับคู่หน้า 2 จอขนา พร้อมลำโพง DYNAUDIO 14 จุด มีช่องเชื่อมต่อ USB ช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V มาตรวัด LCD 10.25 นิ้ว

    พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า Head Up Display ขนาด 12 นิ้ว มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light มากถึง 128 สี ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 3 โซน แยกบริเวณด้านหน้าและหลังอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5

    DENZA

    มี 2 ทางเลือกจากความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 103.36 kWh เริ่มที่รุ่น Premium มอเตอร์ไฟฟ้เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตรวิ่งไกลสุด 600 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.5 วินาที

    รุ่นท็อป Performance AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อโดยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า 313 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 61 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตรเมื่อทำงานร่วมกันให้แรงม้าสูงสุด 374 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร วิ่งไกลสุด 580 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 6.9 วินาที

    มีชาร์จ 2 รูปแบบทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 kW และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% รองรับกำลังไฟสูงสุด 166 kW ชาร์จเร็ว 10 นาที เพิ่มระยะทาง 150 กิโลเมตรรองรับ V2L

    DENZA D9

    มาพร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ โดยด้านหน้ามาในช่วงล่างแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังมาแบบมัลติลิงค์ พร้อม DiSus-C ช่วงล่างอัจฉริยะช่วยปรับระดับการกระแทกโดยระบบประมวลผลควบคุมด้วยโซลินอยด์วาลว์เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงความสบายในการเดินทางมากขึ้นและระบบความปลอดภัยช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS 18 รายการ ในราคา 1,999,900 บาท ในรุ่น Premium และรุ่น Performance AWD ราคา 2,699,900 บาท

    XPENG X9 2.399-2.749 ล้านบาท 

    XPENG

    ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ Sic Architecture โครงสร้างตัวถังสถาปัตยกรรม SEPA2.0 ที่พัฒนาโดย เอ็กซ์เผิง รูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจจากยานอวกาศ (Starship) ห้องโดยสารกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 7.7 ตารางเมตร เบาะแถว 3 สามารถพับแบนราบด้วยระบบไฟฟ้า ปรับเปลี่ยน การโดยสารเป็นแบบ 4 หรือ 7 ที่นั่ง ติดตั้งจอภาพขนาด 21.4 นิ้ว รองรับความบันเทิงเต็มรูปแบบ

    XPENGขับกล่อมด้วยลำโพง XOPERA 23 ตำแหน่ง ติดตั้งชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 เด่นด้วยระบบเลี้ยว 4 ล้ออัตโนมัติ ช่วยให้วงเลี้ยวแคบเพียง 5.4 เมตร คล่องตัวสูงสุดเทียบกับรถกลุ่มเดียวกัน มาพร้อมช่วงล่างถุงลม Dual-Chamber ปรับสูง-ต่ำและความหนืดอัตโนมัติ เพื่อการใช้งาน ที่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย มาพร้อม 2 ทางเลือก

    XPENG

    X9 Premium รุ่นย่อยใหม่ของรถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ ที่สุดแห่งความอเนกประสงค์ เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น กับ ‘Walkthrough Access’ ช่องทางเดินกลางห้องโดยสาร เบาะหนังพรีเมียม เบาะนั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 283 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ LFP ขนาด 84 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 580 กิโลเมตร (NEDC) ราคา 2,399,000 บาท 

    XPENG

    X9 Luxury – เบาะหนังแท้แนปป้า (NAPPA) ผสาน Zero-gravity Seat หรูหรามีระดับ เบาะนั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อม Wireless Charger 50w เทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 317 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ NCM ขนาด 101 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 690 กิโลเมตร (NEDC) ราคา 2,749,000 บาท

    MG MAXUS 9 2.499-2.699 ล้านบาท 

    MG

    MG MAXUS 9 นำพื้นฐานของ MAXUS MIFA 9 หรือ LDV MIFA 9 เข้ามาขายในไทยแปะตรา MG หรูหราด้วยการดีไซน์ออกแนวเท่พร้อมชุดตกแต่งโครเมียมที่ขอบกระจังหน้า ขอบกระจก คิ้วชายล่างประตู คิ้วกันชนหลัง หลังคา Dual Panoramic Sunroof ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า และ ล้ออัลลอยลายสุดล้ำขนาด 19 นิ้ว

    MG

    ภายในล้ำอนาคตด้วยเบาะนั่งหรู 7 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งแถวที่สองในรุ่น V แบบ VIP Captain Seat พร้อมระบบจดจำตำแหน่งการนั่ง (Memory Seats) ระบบนวดเบาะอุ่นและระบายความร้อนควบคุมผ่านหน้าจอ Touch Screen พร้อมช่องวางโทรศัพท์ โต๊ะพับและที่วางแก้ว ตกแต่งด้วยวัสดุหนัง โดยเบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางและฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ทุกที่นั่งมีระบบอุ่นเบาะ ระบายอากาศ และนวดเพื่อผ่อนคลาย

    มีไฟสร้างบรรยากาศภายใน ambient light อย่างอบอุ่นถึง 64 สี กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติเป็นกล้องมองด้านหลังผ่านจอที่กระจกได้ แบบ Streaming Media Rearview Mirror ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมิติ แยกบริเวณด้านหน้าและหลังอิสระ พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 กุญแจนิรภัยแบบอัจฉริยะ พร้อมระบบ Push Start และที่ชาร์จมือถือไร้สาย

    MG

    แผงคอนโซลแบบ Double Layer หน้ามีจอสัมผัสขนาดใหญ่ลากเป็นแนวยาวประกอบด้วย ระบบความบันเทิงแบบจอสัมผัส 12.3 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto พร้อมลำโพง 12 จุด พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB 9 จุด และช่องจ่ายไฟ AC Adaptor 220V  พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มาตรวัดดิจิตอล 7 นิ้ว

    ขุมพลังไฟฟ้าสำหรับสเปกไทยติดตั้งความจุแบตเตอรี่ 90 Kwh ให้แรงม้าสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร โดยชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลสุด 540 กม. (NEDC) พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดทั้ง โหมด Normal, Eco และ Sport มีทั้งชาร์จช้ากระแสสลับ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 kW ชาร์จ 5-100 % ในเวลา 8.30 ชม. และชาร์จเร็วกระแสตรง DC 30-80% ในเวลา 30 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 120 kWh

    MG

    มีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย โครงสร้างนิรภัยปรับแต่งระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION บนพื้นฐานช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 25 ระบบ

    MG

    มีสองรุ่นย่อยทั้งรุ่น X – LUXURY และรุ่น V – SUPER LUXURY โดยรุ่น X มีสีตัวถังให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) และในรุ่น V มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) สีเทาหลังคาดำ Granite Grey / Black Top โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้ รุ่น X ราคา 2,499,000 บาทและรุ่น V ราคา 2,699,000 บาท

    ZEEKR 009 3.099-3.159 ล้านบาท 

    ZEEKR

    และก็มาถึง 1 เอ็มพีวีท็อปคลาสในกลุ่มพลังไฟฟ้าที่ค่าตัวแพงสุดกับ ZEEKR 009 ที่ล่าสุดเสริมรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า PREMIUM FWD 7 ที่นั่งที่เตรียมเปิดราคาเร็วๆนี้ด้วยค่าตัวประมาณ 2 ล้านกลางๆ- 2 ล้านปลายๆ จากเดิมจะขายรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 2 รุ่นทั้งรุ่น PREMIUM AWD 7 ที่นั่ง ราคา 3,099,000 บาท ส่วนรุ่น Flagship AWD 6 ที่นั่ง ราคา 3,159,000 บาท

    รถเอ็มพีวีลักชูรีที่มาพร้อมกับแนวคิด “Premium Mobility” ที่มอบความหรูหราผสานกับการขับขี่ที่สะดวกสบาย พร้อมสำหรับทุกการเดินทางคงความสะดวกสบายระดับเฟิร์สคลาส นวัตกรรมสุดล้ำ และความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่งเพื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว ตรงใจไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคใหม่

    ด้วยกระจังหน้าดีไซน์คล้ายกับ Rolls-Royce แนวตั้งโครเมียมและที่ช่องระบายอากาศแนวตั้ง ประตูสไลด์ไฟฟ้าเปิดได้สองข้าง หลังคาพาโนรามิกซันรูฟแบบคู่สองบานทั้งบานเล็กฝั่งคนขับตอนหน้าและบานใหญ่ฝั่งผู้โดยสาร  บนหลังคารถมีแถบโครเมียมที่ใต้กันชนหน้า คิ้วขอบประตูส่วนบนกับคิ้วชายล่างด้านข้างและด้านหลังล้ออัลลอยลายสปอร์ตปัดเงาขนาดใหญ่ 19-20 นิ้ว สร้างจากแพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Platform)

    ZEEKR

    รุ่นที่ 7 ที่นั่งมาแบบ 2+2+3 โดยเบาะนั่งตอนที่ 2 มาในแบบ SOFARO first-class airline seats และยังสามารถให้เบาะตอนที่ 2 อยู่ชิดกันหริอแยกกันเป็นทางเดินตรงกลางเข้าไปนั่งเบาะตอนที่ 3 ได้ได้โดยมาในแบบ 3 ที่นั่ง

    รุ่น 6 ที่นั่งแบบ 2+2+2 โดยเบาะนั่งตอนที่สองแบบ VIP lounge เบาะตอนที่ 2 อยู่ชิดกัน ทางด้านเบานั่งตอนที่ 3 ได้โดยมาในแบบ 2 ที่นั่ง มาพร้อมระบบระบายอากาศ มีโต๊ะพับสำหรับนั่งทำงาน ปรับด้วยไฟฟ้า 12 จุด พร้อมนวด มีพื้นที่บรรทุกของด้านท้ายเมื่อพับเบาะตอนที่ 3 มากถึง 2,963 ลิตร และไม่พับเบาะ 574 ลิตร หุ้มด้วยหนัง NAPPA

    มีสวิตช์ควบคุมบนแผงประตูแบบ Smart Bar ขนาด 3.4 นิ้ว พร้อมตู้เย็นขนาด 8.6 ลิตร สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -6°C ถึง 50°C หลังคากระจกพาโนรามาขนาดใหญ่แบบสองตอน พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า Dual Panoramic Glass Roof

    ZEEKR

    มาพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนแผงคอนโซลหน้า AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว มีที่ชาร์จมือถอไร้สาย เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอุณหภูมิสามโซนพร้อมไส้กรองเครื่องปรับอากาศทรงประสิทธิภาพสูงและระบบฟอกอากาศแบบแอคทีฟซึ่งสามารถขจัดฝุ่นละออง PM2.5 ได้มากถึง 95% ติดตั้งลำโพง YAMAHA 30 จุด รวมถึงลำโพงที่ติดตั้งไว้ในพนักพิงศีรษะของเบาะด้วยกำลังขับรวม 2,460W ไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light

    มาตรวัดความเร็วแบบสี LCD แนวนอน 10.25 นิ้ว พร้อมจอสัมผัสระบบความบันเทิงบนแผงคอนโซลหน้าขนาด 15.05 นิ้ว OLED ความชัดแบบ 2.5 K และจอบนหลังคารถขนาด 17 นิ้ว ชัดแบบ 3K High-Definition พร้อมระบบปฏิบัติการ ZEEKR OS แบบ Snapdragon รองรับเชื่อมต่อ 5G ประมวลผลเร็วด้วยชิป 2 ตัว Qualcomm 8295

    ZEEKR

    จากสถาปัตยกรรมไฟฟ้าแบบ 400 โวลต์ให้ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่มี 2 ทางเลือกเริ่มที่รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมความจุแบตเตอรี่แบบ Lithium Nickel Manganese Cobalt Pack จาก CATL ขนาดใหญ่ 116 kWh ให้กำลังถึง 340 แรงม้า แรงบิด 373 นิวตันเมตร

    วิ่งไกลสุด 712 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC สามารถชาร์จกระแสตรง DC ระดับ 10 ถึง 80% ภายในเวลา 28 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC โดยให้อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 7.9 วินาที สามารถชาร์จกระแสตรง DC ระดับ 10-80% รองรับกำลังการชาร์จ 150 kW ภายในเวลา 30 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC การชาร์จสูงสุด 6 kW

    ส่วนรุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อน 4 ล้อให้กำลังรวม 603 แรงม้า แรงบิดรวม 693 นิวตันเมตร มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ Lithium Nickel ternary จาก CATL ขนาด 116 kWh ให้ระยะทางไกลสุด 686 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC (582 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP) สามารถชาร์จกระแสตรง DC ระดับ 10-80% รองรับกำลังการชาร์จ 150 kW ภายในเวลา 30 นาที และชาร์จกระแสสลับ AC การชาร์จสูงสุด 6 kW โดยให้อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 4.5 วินาที

    พร้อมโหมดการขับขี่ทั้ง Comfort, Economy, Sports, Personalized, Snow และ One Pedal มาพร้อมช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ และโช้คถุงลม Air Suspension สามารถลดความสูงของตัวรถได้

    ZEEKRพร้อมระบบ CCD Electromagnetic Vibration Reduction System ช่วยลดแรงสะเทือนที่จะเข้าสู่ในห้องโดยสาร ชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ในขณะชะลอตัว Braking Energy Regeneration รองรับ V2L สามารถจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ภายนอกได้พร้อมความปลอดภัยด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS 14 รายการ

    • สีขาว Crystal White (ภายในสีดำ (Stone Black))
    • สีดำ Phantom Black (ภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black))
    • สีใหม่!สีเขียว (Mineral Green) (ภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black))

     

    ABOUT THE AUTHOR

    Latest Posts