โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ Toyota ปี 2567 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 220,356 คัน ลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับปี 2023
หากแต่ยังคงความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 38.5% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความนิยมของรถในกลุ่มอีโคคาร์ของโตโยต้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่ง ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสัดส่วนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Yaris Cross ที่ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้านับตั้งแต่เปิดตัว
ในขณะที่สัดส่วนยอดขายของตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ยังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 44% จากการที่โตโยต้าพัฒนารถกระบะไฮลักซ์ให้รองรับการใช้งานต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสำเร็จของ Toyota Hilux Champ ซึ่งให้การปรับแต่งเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
มียอดขายอยู่ที่ 11,743 คัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 7.2% ในกลุ่มรถกระบะ นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของ โตโยต้า ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย โดยยอดขายรถยนต์ของ Toyota อยู่ที่ 220,356 คัน ลดลง 17.1% ส่วนแบ่งการตลาด 38.5% ประกอบด้วย
- รถยนต์นั่ง 66,912 คัน ลดลง 32.6% ส่วนแบ่งการตลาด 29.9%
- รถเพื่อการพาณิชย์ 153,444 คัน ลดลง 7.9% ส่วนแบ่งการตลาด 44.0%
- รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถPPV) 91,001 คัน ลดลง 29.3% ส่วนแบ่งการตลาด 45.5%
- รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถ PPV) 77,987 คัน ลดลง 26.8% ส่วนแบ่งการตลาด 47.7%
สำหรับ Toyota ตั้งเป้ายอดขายตลอดปี 2568 อยู่ที่ 231,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 38.5% ประกอบด้วย
- รถยนต์นั่ง 79,300 คัน เพิ่มขึ้น 19.0% ส่วนแบ่งการตลาด 33.6%
- รถเพื่อการพาณิชย์ 151,700 คัน ลดลง 1.0% ส่วนแบ่งการตลาด 41.7%
- รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถPPV) 87,365 คัน ลดลง 4.0% ส่วนแบ่งการตลาด 47.8%
- รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถ PPV) 73,800 คัน ลดลง 5.0% ส่วนแบ่งการตลาด 50.7%
ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2567 ได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปจำนวน 338,107 คัน ลดลง 11% จากปี 2566 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกใน ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 536,145 คัน หรือลดลง 14% จากปี 2566
สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปี 2568 คาดการณ์ว่ายังต้องเผชิญกับภาวะทรงตัวสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศ คู่ค้า ส่งผลให้โตโยต้าตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 336,184 คัน หรือลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2568 อยู่ที่ราว 537,860 คัน หรือเพิ่มขึ้น 0.3% จากปีที่ผ่านมา
การดำเนินงานในด้านอื่นๆของโตโยต้าในประเทศไทย
1. หนึ่งในหลักการที่โตโยต้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้า คือ QDR ซึ่งย่อมาจาก Quality, Durability and Reliability หมายถึงคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ แนวคิดนี้ช่วยให้โตโยต้ามีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือของยานยนต์ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน สามารถตอบสนองความคาดหวัง และเสริมสร้างความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อโตโยต้าได้อย่างต่อเนื่อง
• คุณภาพ (Quality) โตโยต้ามุ่งมั่นในการผลิตยานยนต์ที่มีคุณภาพสูง ทั้งในด้านการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ และกระบวนการผลิต รวมถึงการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนของการผลิต
• ความทนทาน (Durability) โตโยต้าให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ที่มีความทนทาน สามารถใช้งานได้ยาวนาน และทนต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
• ความน่าเชื่อถือ (Reliability) รถยนต์ที่ผลิตโดยโตโยต้าถูกออกแบบให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ไม่เกิดปัญหากะทันหันขณะใช้งาน และสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์
2. ในการเดินหน้าสู่การเป็น Mobility Company โตโยต้าคำนึงถึงการดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ผ่านการผลิต ยนตรกรรมคุณภาพสูง ทนทาน และน่าเชื่อถือ พร้อมกับการให้บริการชิ้นส่วนอะไหล่และศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความอุ่นใจขณะใช้รถโตโยต้า พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนาบริการหลังการขายให้มีมาตรฐานและคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนะนำบริการรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อ (Connected) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานของลูกค้า โดยยังให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า พร้อมสนับสนุนการใช้รถที่ปลอดภัย การบำรุงรักษา และไลฟ์สไตล์ประจำวันของลูกค้า โดยมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อตามทันเทคโนโลยีและตอบสนองพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
• T-Connect: ยกระดับการบริการลูกค้ายุคดิจิทัล เพื่อความสะดวกและคุ้มค่าของลูกค้า โดยแบ่งบริการออกเป็น 5 หมวด พร้อมฟังก์ชันและบริการมากกว่า 20 บริการ อาทิ บริการสินเชื่อ Connected Auto Loan (CAL) / ประกันภัยขับดี Pay How You Drive (PHYD) / บริการช่วยเหลือด้านความปลอดภัย เช่น ระบบ Find My Car, TheftTrack, SOS ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลเคสได้ 100% / บริการอำนวยความสะดวกในการเข้าศูนย์บริการ แจ้งเตือนเข้าเช็กระยะ ติดตามสถานะการซ่อมผ่านแอปพลิเคชัน / สิทธิพิเศษไลฟ์สไตล์ ผ่านความร่วมมือกับ The1 เพื่อแลกส่วนลดและสะสมคะแนนเพื่อใช้ที่เซ็นทรัลและร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ
• TCFR Plus+: ยกระดับการบริการหลังการขายของโตโยต้า มอบความมั่นใจให้ลูกค้าตลอดระยะเวลาการเป็นเจ้าของรถโตโยต้า โดยบริการหลังการขายที่มีศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ ให้บริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย
• บริการทางเลือกอะไหล่คุณภาพและรถใช้แล้วคุณภาพดี เพื่อให้ครอบคลุมด้านงานบริการอย่างครบวงจร และให้ลูกค้าเกิดความสบายใจตลอดการใช้รถ สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะการรับประกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประกันภัย บำรุงรักษา รวมถึงการดูแล ตลอดจนราคาขายต่อของรถที่ยังคงสมเหตุสมผล อาทิ
- ฟิกซ์ฟิต (FIX FIT) ศูนย์บริการทางเลือกที่ได้มาตรฐาน สะดวก ไม่ต้องนัดหมาย ใกล้บ้าน บริการรถทุกยี่ห้อ เหมาะสำหรับลูกค้านอกระยะรับประกัน
- อะไหล่ทางเลือก (T-OPT) อะไหล่คุณภาพระดับ OEM ที่ได้มาตรฐาน รับประกันความคุ้มค่า มีจำหน่ายที่ศูนย์บริการโตโยต้าและฟิกซ์ฟิตทั่วประเทศ
- Toyota SURE บริการรับซื้อ แลกเปลี่ยนรถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ และยังมีรถใช้แล้วคุณภาพดี Sure Certified by TOYOTA ที่มาพร้อมกับราคาที่เข้าถึงได้
3. โตโยต้ายังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multi Pathway” เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อดำเนินโครงการเกี่ยวกับการใช้งานยานยนต์ที่หลากหลาย ซึ่งทางโตโยต้าจัดเตรียมไว้เพื่อให้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) อีกด้วย
4. ในด้านกิจกรรมสังคมอื่น ๆ โตโยต้าก็ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนสังคมไทย สู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ดี ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น
• การรณรงค์ด้านการขับขี่ปลอดภัยกับ “โครงการ โตโยต้า ถนนสีขาว”
• การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนกับ “โครงการ ลดเปลี่ยนโลก”
• การดำเนิน “โครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” โดยแชร์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนไทย
• การดำเนินโครงการ “Toyota GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” ซึ่งเป็นพันธกิจสำคัญในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนผ่านการให้ในทุกมิติ ทั้งในด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ ภูมิปัญญา และการศึกษา