เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างกฎกระทรวงใหม่เกี่ยวกับโครงสร้าง ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า หรือภาษีสรรพสามิตรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) โดยแยกอัตราภาษี PHEV ออกจาก HEV อย่างชัดเจน และใช้ “ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่อการชาร์จ” เป็นเกณฑ์ใหม่ แทนการพิจารณาจากขนาดถังน้ำมัน
อัตราภาษีใหม่ (เริ่มใช้ 1 ม.ค. 2569):
• วิ่งไฟฟ้า ≥ 80 กม./ชาร์จ: 5%
• วิ่งไฟฟ้า < 80 กม./ชาร์จ: 10%
เป้าหมาย: ยกระดับคุณภาพการผลิต ดึงดูดนักลงทุน และลดมลพิษในเมือง
รายละเอียดการปรับโครงสร้างภาษี PHEV
1. การแยกอัตราภาษี PHEV ออกจาก HEV
เดิมที รถยนต์ PHEV และ HEV ถูกจัดเก็บภาษีในพิกัดเดียวกัน โดยพิจารณาจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) . แต่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กรมสรรพสามิตได้กำหนดพิกัดอัตราภาษี PHEV และ HEV แยกจากกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้:
• PHEV ที่มีระยะการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ≥ 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และขนาดถังน้ำมันไม่เกิน 45 ลิตร: อัตราภาษี 5%
• PHEV ที่มีระยะการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า < 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หรือขนาดถังน้ำมันเกิน 45 ลิตร: อัตราภาษี 10%
2. เงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับรถยนต์ PHEV
เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รถยนต์ PHEV ต้องมีการติดตั้งระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 2 ระบบ จาก 6 ระบบที่กำหนดไว้ เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง (AEB), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ACC) เป็นต้น .
3. การใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป รถยนต์ PHEV ที่ผลิตในประเทศต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศระดับเซลล์ (Battery Cell) หรือระดับโมดูล (Battery Module) และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2573 ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 1 รายการ
เป้าหมายของการปรับโครงสร้างภาษี
• ส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: โดยการจูงใจให้ผู้ผลิตพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลขึ้น
• ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล: เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
• กระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ: โดยการกำหนดให้ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ .