ประเดิมขุมพลังดีเซลเทอร์โบใน GWM TANK 300 จนฮิตติดตลาดล่าสุดได้นำขุมพลังนี้มาจุติในสายลุยรุ่นใหญ่ GWM TANK 500 Diesel
และเมืองไทยเป็นที่แรกของโลกที่นำขุมพลังนี้มาใช้งานพร้อมแนะนำรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ขายควบคู่กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ)ทาง GWM ได้จัดมีการทดสอบสมรรถนะของสายลุยทรงหรูด้วยระยะทาง 597 กิโลเมตร ไปกลับ กรุงเทพฯ- ปราณบุรี (ประจวบคีรีขันธ์) ด้วยรุ่นท็อปสุด GWM TANK 500 Diesel ULTRA 4WD
Design & Exterior
พีพีวีรุ่นใหญ่ที่หน้าตาไม่ต่างจากรุ่น HEV เพียงปรับบางรายการเพื่อความเหมาะสมทั้งบันไดข้างเป็นแบบขึ้นรูปแบบตายตัวจากเดิมจะเป็นบันไดข้างไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน เปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด-ปิดประตู กับ ยางอะไหล่ย้ายตำแหน่งไปที่ใต้ท้องรถเพื่อให้สะดวกกับการเปิดประตูหลังและการจอดในพื้นที่จำกัด
นอกนั้นเหมือนรุ่น HEV เริ่มที่กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ผสานช่องระบายอากาศแนวนอนและโลโก้ TANK ที่ลงตัวรับเส้นสายที่นูนขึ้นของฝากระโปรงไฟหน้า Intelligent LED ดีไซน์โดดเด่นด้วยระบบอัจฉริยะ อาทิ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติและฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow me home) พร้อม Daytime Running Light ไฟตัดหมอกหน้า LED
ด้านข้างตกแต่งหรูด้วยกรอบโครเมียมที่กระจก กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า ที่เปิดประตูแบบดึงก้าน หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ เปิด–ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ราวหลังคา เสาอากาศแบบ shark fin ล้ออัลลอยขนาดลายหลายซี่ 20 นิ้ว พร้อมยาง Continental ขนาด 265/50 R20
ด้านหลังมาพร้อมประตูท้ายเปิดบานเดียวใหญ่แบบ horizontal พร้อมระบบดูดไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง พร้อมกล้องมองหลัง ไฟท้าย Vertical LED ดีไซน์แนวตั้ง มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟตัดหมอกหลังแบบ LED ให้ความสว่างชัดเจนเพื่อความปลอดภัยและสปอยเลอร์ท้าย ซึ่งช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค พร้อมตรา GWM TANK ฝั่งซ้าย และตราชื่อรุ่น 500 และ 4WD ติดด้านท้ายฝั่งขวา
Dimension
มิติตัวรถขนาดกว้างขวาง ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถ ใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน พัฒนาบนโครงสร้างแชสซีแบบตัวถังวางบนเฟรม (Body-on-Frame) ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับรถยนต์ในตระกูล GWM TANK มอบความแข็งแกร่งเหนือระดับ มิติตัวรถตั้งแต่
- ความยาว 4,886 มิลลิเมตร (ลดลง 192 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,934 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,905 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดจากพื้น 224 มิลลิเมตร
- น้ำหนักรถ 2,560 กิโลกรัม
- ความจุถังน้ำมัน 78 ลิตร (เพิ่มจากเดิม 3 ลิตร)
Interior & Convenience
ในรุ่นดีเซลมีการปรับออปชันภายในบางกรายการเริ่มที่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับได้แบบ 4 ทิศทางปรับด้วยระบบธรรมดาจากเดิมเป็นปรับไฟฟ้า เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 ปรับการใส่วัสดุโฟม เพื่อเพิ่มความนุ่มสบายในการนั่งให้มากยิ่งขึ้น เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 พร้อมพนักพิงปรับด้วยมือไม่พับไฟฟ้า เพิ่ม ระบบเบาะระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและแถวสองยกระดับความสบายของผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ลำโพงจาก Infinity มาเป็นแบรนด์ Amor จำนวน 12 ลำโพง ระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ ปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ และการตกแต่งด้วยวัสดุสี Black, Silver, Piano Black, Chrome โทนสีภายในสีดำพรีเมียม
หน้าจอทั้ง 3 ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและปลอดภัย หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay Android Auto MP5 Bluetooth ระบบนำทาง แสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่พร้อมมาตรวัดดิจิทัล TFT (TFT Digital Driving Display) ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ที่พวงมาลัย ไฟตกแต่งห้องโดยสาร Ambient Light พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสีและเป็นจังหวะช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้คุณเพลิดเพลิน นาฬิกาแบบคลาสสิกเพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารได้อย่างลงตัว เปิด-ปิดล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้และออกห่างจากรถ ระบบกุญแจ Smart Key และระบบ Push Start เพิ่มความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหากุญแจ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา-หลัง รวม 3 โซน พร้อมระบบกรองอากาศ N95 ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย 50W พร้อมพอร์ต Type-A/C ด้านหน้า และ Type-A ด้านหลัง รองรับการชาร์จอุปกรณ์หลายชิ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยให้การชาร์จ Smart Phone สะดวกและรวดเร็ว
ยังจัดเต็มไปด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) ยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ขับขี่อย่างครบวงจรในทุกมิติ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยียนตกรรมไม่ว่าจะเป็น การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) Firmware Over-the-Air การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) ควบคุมรถจากระยะไกล (Remote Vehicle Control) และความปลอดภัย
พร้อมอินเทอร์เฟซผู้ใช้งาน (HMI Interaction) ในรุ่น Ultra และ Ultra 4WD จอคู่แบบอินเทอร์แอคทีฟ แสดงแผนที่แบบแบ่งหน้าจอ, การมิเรอร์สื่อมัลติมีเดีย, และข้อมูลโหมดออฟโรด พิเศษในรุ่น Ultra 4WD หน้าจอ UI แสดงค่าความลาดเอียงภูมิประเทศ สถานะการล็อกดิฟเฟอเรนเชียล และโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อแบบเรียลไทม์ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลุยเส้นทางสมบุกสมบัน
การควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชันของรถยนต์ผ่าน GWM Application แม้ในขณะผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อกและปลดล็อกประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง การปิดซันรูฟ การควบคุมระบบระบายความร้อนของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ การกำหนดรัศมีการใช้งานรถ และระบบตรวจสอบสถานะอื่นๆ
เบาะนั่งทั้ง 7 ที่นั่งหุ้มหนัง NAPPA ปรับไฟฟ้าคู่หน้าพร้อมระบบเบาะนวดและดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบ Memory Seat และ Welcome Seat เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับตำแหน่งเบาะผู้โดยสารด้านหน้าจากด้านคนขับ พร้อมหน้าจอควบคุมระบบระบายอากาศและเบาะระบายอากาศอีกระดับของความสบายด้วยที่พักแขนตอนกลาง ม่านบังแดดประตูหลัง และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 3 เพิ่มความสะดวกด้วยตำแหน่งปรับพนักพิงบริเวณข้างประตูผู้โดยสารแถวที่ 2 และประตูท้าย พื้นที่ห้องโดยสารมีที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 สามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 และเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับเรียบแบบ 50:50 รองรับปริมาณสัมภาระสูงสุด 795 ลิตร ช่วยเพิ่มพื้นที่และความสะดวกในการจัดเก็บสัมภาระ
Performance & Transmission
ขุมพลังใหม่ดีเซลเทอร์โบแปรผันขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบในรหัส GW4D24 (E24D) ให้กำลังถึง 184 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 480 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (ECR) และระบบปั้มน้ำมันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อยไอเสีย Nox ปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 197 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด Electronic Shifter
Handling & Ride
ด้วยน้ำหนักรถที่ลดลงกว่ารุ่น HEV 75 กิโลกรัมแบบไม่มีถ่านไฮบริดมากวนใจ ประการต่อมากับขุมพลังดีเซลที่ GWM พัฒนาเองผลที่ได้มาคือการตอบสนองที่ฉับไวแรงแบบสุขุมไม่กระโชกโฮกฮาก กดคันเร่งตอนออกตัวแอบไวไปนิดนึงจนถึงช่วง 80 พอความเร็ว 90-160 ขับเพลิน ขับสมูทสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์
เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่งเสียงแทบไม่มีเพราะทาง GWM ติดตั้งเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยว ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูง สายพาน Timing และ Balance Shaft ทำให้การขับขี่สบายอารมณ์เพลิดเพลินกับเสียงเพลง และการสนทนาระหว่างเดินทางได้อย่างดี
รอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมือนเดิมทำงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาทีแต่ละช่วงความเร็วมาแบบเร็วติดปีกตั้งแต่ 1,400 1,600, 1,700 และ 1,900 รอบต่อนาที ตามลำดับ เหมือน GWM TANK 300 Diesel
เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ลูกนี้มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 สามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไปยอมรับว่าเกียร์ลูกนี้เปลี่ยนเกียร์ได้ราบรื่นและสมูท โดยเลือกได้ทั้ง ECO ขับหลัง กับ Normal และถ้าต้องการความเร้าใจในการขับขี่ยังมีโหมด Sport สร้างกำลังสูงกว่านิดนึง
พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part Time 8 โหมดการขับขี่ได้แก่ โหมด 2H, โหมด 4H, โหมด 4L, โหมดพื้นหิมะ, โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย, โหมดพื้นหิน และโหมดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรองรับทุกสภาพเส้นทางทั้งบนถนนและออฟโรดอย่างมั่นใจ (เดิม 11 โหมด AWD)
สามารถลุยน้ำที่ระดับความลึก 800 มิลลิเมตร เพียบพร้อมไปด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบออฟโรดอันชาญฉลาดและล้ำสมัย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น
- ล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Front and Rear Differential Lock) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดของยานพาหนะเมื่อเผชิญกับทางลาดชัน โคลน ทะเลทราย และภูมิประเทศที่ซับซ้อนอื่น ๆ ด้วยกลไกการถ่ายโอนกำลัง ทำงานร่วมกันกับกลไกล็อกของกล่องถ่ายโอนทั้งล้อหน้าและล้อหลัง สร้างระบบขับเคลื่อนออฟโรดแบบ 3 locks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม
- ช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน เมื่อระบบตรวจพบความตั้งใจในการบังคับเลี้ยวมากเกินไป ระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว เพื่อช่วยให้รถสามารถเลี้ยวในวงแคบได้
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road (Offroad Cruise Control) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และระบบเบรกโดยอัตโนมัติให้รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำและความเร็วสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ขับขี่ไม่เสียสมาธิและเพิ่มความปลอดภัยจากการควบคุมรถบนสภาพถนนที่ซับซ้อน
- ตรวจจับความลึกของน้ำ (Wading Depth Detection) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะประเมินความลึกของระดับน้ำและแสดงผลของระดับน้ำประกอบภาพรถบนหน้าจอกลาง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่เมื่อขับผ่านสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง
- แสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) ทันทีที่เปิดฟังก์ชัน ระบบจะจดจำข้อมูลของพื้นที่รอบเส้นทางการขับขี่ของกล้องรอบตัวรถและสร้างภาพเสมือนแบบ 360 องศา จากมุมมองด้านบนของตัวรถ ในลักษณะแบบโปร่งใสเห็นพื้นผิวถนนด้านล่าง และแสดงภาพด้านหน้าของรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพถนนใต้ท้องรถ เพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น
มาพร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าแปรผันตามความเร็วช่วยผ่อนแรงได้ 3 ระดับ (เบา/สบาย/สปอร์ต) ใช้งานทั่วๆไปเบาคล่องมือ พอใช้ความเร็วสูงมีน้ำหนักอยู่บ้าง ระบบสะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double-Wishbone) ระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ เซตมาดีเข้าโค้งในย่านความเร็วสูงๆนิ่ง ขับทั่วๆไปให้ความนุ่มนวลแอบมีเด้งบ้างในเส้นถนนคอนกรีตไม่โคลงไม่โยน ด้านอัตราการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 11.23 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 8.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เรียกว่าประหยัดเกินหน้าเกินตารุ่น ULTRA 4WD HEV อย่างเห็นๆ
ตามข้อมูล ECO Sticker อัตราสิ้นเปลือง ในเมืองทำได้ 11.76 กิโลเมตรต่อลิตรหรือ 8.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร นอกเมือง 14.08 กิโลเมตรต่อลิตรหรือ 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เฉลี่ย 13.33 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
Safety & Feature
มีระบบช่วยเหลือการขับขี่และระบบความปลอดภัยด้วยการขับขี่อัตโนมัติระดับ L2+ (Level L2+ Automated Driving) มีมากมาย ให้ทุกการเดินทางปลอดภัยไร้กังวล ได้แก่
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Full-speed Range ACC) รองรับความเร็ว 0-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- เตือนการชนด้านหน้า (FCW) Forward Collision Warning
- ช่วยควบคุมให้อยู่ในเลน (LKA) Lane Keeping Assist
- ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) Traffic Jam Assist
- ควบคุมอัจฉริยะบนทางด่วน (HWA) Highway Assist
- ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) Lane Departure Warning
- ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) Emergency Lane Keeping
- ช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB) Mild Off-Road Braking
- ช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) Rear Cross-Traffic Alert (เฉพาะรุ่น Ultra และ Ultra 4WD)
- ช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB) Rear Cross-Traffic Braking (เฉพาะรุ่น Ultra และ Ultra 4WD)
- ช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA) Lane Change Assist (เฉพาะรุ่น Ultra และ Ultra 4WD)
- ช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP)
- ช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA)
- กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง แสดงภาพรอบคันแบบเรียลไทม์ เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่และจอดรถ
- เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)
- ช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM)
พร้อมความปลอดภัยพื้นฐานเช่น ช่วยลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ช่วยออกตัวบนทางชัน HSA (Hill Start Assist) กระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution) เสริมแรงเบรกอัตโนมัติเมื่อผู้ขับเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน BAS (Brake Assist System) ป้องกันการพลิกคว่ำ RMI (Roll Movement Intervention) ควบคุมการลื่่นไถล TCS (Traction Control System) เซนเซอร์จอดด้านหน้า 6 จุด / ด้านหลัง 6 จุด ตรวจความดันลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitoring System) ช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) ไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS ถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด
Verdict
ความหวังของค่าย GWM รุ่นที่ 2 ต่อจาก GWM TANK 300 Diesel กับ GWM TANK 500 Diesel ด้วยหน้าตาหรูเป็นทุนเดิมปรับออปชันบางรายการรวมถึงการมาของเครื่องดีเซล 2.4 ที่ให้ทั้งความเงียบสั่นสะเทือนน้อยลงผสมกับความแรงสุขุมไม่ฮาร์ดคอ ออปชันให้มาครบเทียบชั้นพีพีวีเจ้าอื่นๆได้สบายช่วงล่างนุ่มและเฟิร์ม
บวกกับความใจป้ำของ GWM ที่กล้ารับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี) สามารถเรียกแขกที่สนใจเอสยูวี พีพีวีเจ้าอื่น ทั้งแบบสันดาป ลูกผสมและไฟฟ้าล้วน ให้หันกลับมามองตัวลุยแดนมังกรประกอบไทยทั้งรถและเครื่องในราคาเร้าใจเพียง 1,599,000 บาท (ราคาปกติ 1,699,000 บาท)
หรือถ้าชอบของดำเพิ่มอีก 30,000 บาท คุณก็จะได้รุ่น Black Warrior แต่งทั้งคันตั้งแต่หัวจรดท้าย เป็น 1,629,000 บาท (ราคาปกติ 1,729,000 บาท)